กลุ่มอุตสาหกรรม | ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ |
หุ้น | STGT |
มูลค่าพื้นฐาน | 36.75 |
คำแนะนำ | HOLD |
เราคาดกำไร 2Q21F เติบโต 6 เท่า yoy แต่ลดลง 27% qoq สู่ 7.4พันลบ. และเงินปันผลที่ 1.50 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกันเราคาดกำไร FY22F จะลดลง 53% yoy เป็น 1.31หมื่นลบ. เนื่องจากซัพพลายที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกอาจลดราคาขายเฉลี่ยลง คงคำแนะนำ ถือ แต่ปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36.75 บาทต่อหุ้น (จาก 49 บาท)
คาดปริมาณการผลิตทรงตัว แต่ปริมาณขายอาจลดลง qoq
แม้ STGT จะปิดโรงงานสุราษฏร์ธานีและตรังเป็นเวลา 7 วันและ 16 วันตามลำดับเนื่องจากขาดแคลนแรงงานจากการระบาดของ COVID-19 แต่ปริมาณขายใน 2Q จะทรงตัว qoq ที่ 7,200 ล้านชิ้น หนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 11% หรือ 3,992 ล้านชิ้นต่อปีจากสายการผลิตใหม่ (SR3) ที่โรงงานสุราษฏร์ธานี ขณะที่ปริมาณขายจะลดลง 11% qoq เป็น 5,950 ล้านชิ้นเนื่องจากการขาดแคลนทั้งเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงปัญหาความแออัดในเส้นทางขนส่ง
กำไร 2Q21F ลดลง qoq เป็น 7.4 พันลบ.
เราคาดราคาขายเฉลี่ยจะลดลง 13% qoq สู่ 2,000 บาทต่อพันชิ้นใน 2Q ดังนั้นเราคาดรายได้ 2Q21F ที่ 1.19 หมื่นลบ. (+145% yoy, -23% qoq) ต้นทุนเฉลี่ยวัตถุดิบรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% qoq ตามราคา Butadiene ที่สูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นลดลงสู่ 70% เทียบกับ 74% ใน 1Q เราจึงคาดกำไร 2Q21F เติบโต 6 เท่า yoy แต่ลดลง 27% qoq เป็น 7.4 พันลบ. และคาดเงินปันผลที่ 1.5 บาทต่อหุ้น
คาดกำไรปี FY22F ลดลง yoy
แม้บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิต 39% เป็น 50,000 ล้านชิ้นต่อปีในปีหน้า แต่เราคาดกำไร FY22F จะลดลง 53% yoy เป็น 1.31 หมื่นลบ. เนื่องจากกำลังการผลิตทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยลดลงสู่ 1,000 บาทต่อ 1,000 ชิ้นจาก 1,750 บาท
คงคำแนะนำ ถือ ปรับราคาเป้าหมายลงสู่ 36.75 บาทต่อหุ้น (จาก 49 บาท)
เราคาดซัพพลายที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยลดลงอย่างรวดเร็ว เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสำหรับปี FY22 ที่ 36.75 บาทต่อหุ้น เทียบเท่า PER 8.0x FY22F EPS