บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส:

SEAFCO: ราคาปิด 4.44 บาท

คาดกําไรกลับมาแกร่ง 2H64

  • คาดว่ากําไรสุทธิ 2Q64 ยังอ่อนเป็น 25 ล้านบาท ทรงตัวใกล้ q-o-q แต่ลดลงมาก -65% y-o-y
  • เพราะยังไม่ได้เร่ิมงานก่อสร้างขนาดใหญ่ และอัตรากําไรขั้นต้นถูกกดดันจากการแข่งขันที่สูงข้ึน
  • แต่คาดว่าครึ่งหลังปีน้ีกําไรจะฟื้นตัวเป็น 126 ล้านบาท เมื่อเริ่มงานก่อสร้างขนาดใหญ่ และเทียบ y-o-y ท่ี
    ขาดทุน -12 ล้านบาท ซึ่งมีการตั้งสํารองหนี้สูญ
  • คงคําแนะนํา ซื้อ คาดว่ากําไรปีน้ี/ปี 65 เป็น+13%/+20% Catalyst คือการได้งานก่อสร้างเพิ่ม ส่วนราคาพื้นฐานใหม่ปรับลงเป็น 5.09 บาท ตามการลดประมาณการ แต่ราคาหุ้นลงไปมาก จนมีส่วนเพิ่มสูงขึ้น

คาดกําไร 2Q64 ออกมาอ่อน เป็น 25 ล้านบาท (-65% y-o-y,+5% q-o-q) ถือว่าผลการดําเนินงานค่อนข้างใกล้เคียงกับ q-o-q หรือ 1Q64 ที่มีกําไรสุทธิ 24 ล้านบาท ทั้งน้ีงานก่อสร้างยังเป็นขนาดกลาง-เล็ก ยังผลให้รายได้จากการก่อสร้างเป็น 595 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1% q-o-q ด้านอัตรากําไรขั้นต้นเป็น 9.8% ใกล้เคียงกับ q-o-q ที่ 9.7% ซึ่งอยู่ในโซนต่ำ ตามขนาดของงานก่อสร้าง และตอนประมูลมีการแข่งขันสูง ซึ่งมีงานก่อสร้างเปิดประมูลน้อย แต่กําไรสุทธิ 2Q64 กลับปรับตัว ลงมากเทียบ y-o-y ที่สูงเป็น 72 ล้านบาท โดยรายได้ 2Q64 ปรับ ลงถึง 19%y-o-y เช่นเดียวกับอัตรากําไรขั้นต้นของฐาน คือ 2Q63 ก็สูงเป็น 18.4% ซึ่งอยู่ในช่วงธุรกิจไปได้ดี

คาดว่าครึ่งหลังปีนี้ (2H64) กําไรจะฟื้นตัวดีเป็น 126 ล้านบาท เมื่อเริ่มงานก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น Central Embassy ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ราว มิ.ย.64 และเทียบ y-o-y (2H63) ที่ขาดทุน -12 ล้านบาท ซึ่งมีการตั้งสํารองหนี้สูญในงวด 4Q63 ที่ราว -22 ล้านบาท ยังผลให้งวดดังกล่าวต้นทุนการก่อสร้างสูงอย่างผิดปกติ อัตรากําไรขั้นต้นเป็นเพียง -1.5% จึงอาจกล่าวได้ว่าแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 มีความสดใสมากขึ้น ซึ่งหากเทียบสัดส่วนกําไรในงวดครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังหรือ 1H64:2H6 จะเป็น 28%:72%

งานก่อสร้างในมือ (Backlog) ลดลง ปัจจุบันมีปริมาณงานในมือ (Backlog) ราว 1.62 พันล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 63 ที่ 2.04 พันล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนงานที่เป็นแรงงานอย่างเดียว 12% ลดลงจากเดิมที่ 15% โดยที่งานที่เป็นแรงงานอย่างเดียวจะให้มาร์จินที่สูง สําหรับงานในมือดังกล่าวบริษัทคาดจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ ยกเว้นโครงการใหญ่ที่อาจมีการรับรู้ในปีหน้า แบ่งเป็น งานในประเทศ 97% คิดเป็นมูลค่าราว 1,565 ล้านบาท และมีงานค้างอยู่ที่ประเทศเมียนมา 3% คิดเป็นมูลค่า 51 ล้านบาท โดยปริมาณงานทั้งหมดเป็นโครงการจากเอกชน 91% มูลค่า 1,465 ล้านบาท และโครงการจากภาครัฐ 9% มูลค่า 152 ล้านบาท

บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นประมูลงานเพิ่ม (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64 – 25 พ.ค. 64) มูลค่ารวม 2,121 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการจากภาคเอกชน 27 โครงการ มูลค่า 1,469.5 ล้านบาท และโครงการจากภาครัฐอีก 14 โครงการ มูลค่า 651.5 ล้านบาท (ไม่รวมงานเมกะโปรเจ็คต์ภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟฟ้ารางคู่) โดยงานท่ียังไม่ ประกาศทั้งหมด 1,753 ล้านบาท คาดว่าบริษัทจะได้งานเพมิ่ จากการประมูลงานได้สําเร็จประมาณ 600 ล้านบาท ก็จะทํา ให้ Backlog กลับไปเกินกว่าระดับ 2,000 พันล้านบาทได้

ปัญหาขาดแคลนแรงงานและราคาเหล็กเพิ่มกระทบจํากัด ปัจจุบันบริษัทมีแรงงานอยู่ประมาณ 300-400 คน เนื่องจากไม่สามารถนําแรงงานต่างชาติเข้ามาในประเทศได้ อย่างไรก็ตามแรงงานที่มีอยู่ในขณะนี้ยังเพียงพอต่อปริมาณงานที่มี แต่คงไม่สามารถรับงานเพิ่มในปริมาณมากๆ ได้ จนกว่าปัญหารัฐประหารที่เมียนมาร์จะคลี่คลาย ขณะที่ราคาวัตถุดิบเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น ก็ได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตรากําไร เนื่องจากบริษัทได้มีการล็อคราคาวัตถุดิบก่อนแล้ว

คงคําแนะนํา ซื้อ คาดว่ากําไรปีนี้/ปี 65 เป็น+13%/+20% และแรงกระตุ้นราคาหุ้น (Catalyst) คือการได้งานก่อสร้างเพิ่ม โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, รถไฟฟ้ารางคู่ หรือ รถไฟฟ้าเชื่อมสาม สนามบิน หาก CK เป็นผู้ชนะ ก็จะทําให้ SEAFCO มีงานรับเหมาช่วงเพิ่มได้ เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานาน ส่วนราคาพื้นฐานใหม่ปรับลงเป็น 5.09 บาท ตามการลดประมาณการลงสําหรับปีนี้และปี 65 ในอัตรา -20%/-6% หลัง ปรับอัตรากําไรขั้นต้นให้น้อยลง ตามตารางที่ได้แนบมา และประเมินด้วย P/E ปี 65 ที่ 18 เท่า แต่ถือว่าราคาหุ้นได้ปรับลง ไปมาก จนราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 15% ผนวกกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้และปี 65 ที่ 2.5%/3.0% ตามลําดับ ด้านฐานะการเงินก็อยู่ในเกณฑ์ดี คาดว่าปลายปีนี้จะเป็นเงินสดสุทธิ (Net Cash Position)

- Advertisement -