บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง:

Siam Cement (SCC) กําไร 2Q64 ทําสถิติ 2H64 จะชะลอตัว

Company Update

ประเด็นการลงทุน

กำไร 2Q64 สูงสุดในรอบ 17 ไตรมาส 17,136 ล้านบาท (+ 15%QoQ, +83% YoY) มากกว่าคาด 14% แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีกำไรเด่นสุดแนวโน้มกำไรครึ่งหลังปี 2564 จะลดลงถูกกดดันจากสเปรดปิโตรเคมีที่ลดลง และการแพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างหนักในไทยและอาเซียน แต่รวมปี 2564 กำไรจะเด่น 44,892 ล้านบาท โตสูง 32% ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโตแรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจจ่ายปันผลกำไรครึ่งปีแรก 8.50 บาท คาดปีนี้ 16-17 บาท คงแนะนำซื้อ เป้าหมาย 520 บาทบนฐาน Forward P / E + 0.5SD = 13.9 เท่า

กำไร 2Q64 มากกว่าคาดสูงถึง 1.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดรอบ 17 ไตรมาส

SCC ประกาศผลประกอบการ 2964 มีกำไรที่เด่นและสูงสุดในรอบ 17 โตรมาส 17,136 ล้านบาท (+15%QoQ, + 83%YoY) ใกล้จุดสูงสุดเพิ่มในไตรมาส 1Q60 ที่ทำสถิติไว้เท่ากับ 17,385 ล้านบาท มากกว่าเราคาดจะมีกำไรเท่ากับ 15,000 ล้านบาท แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจโดย SCC สามารถเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม เนื่องจากมีสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) เพิ่มขึ้นเป็น 34% จาก 32% มีสินค้าใหม่สัดส่วนเพิ่มเป็น 15% จาก 13% และขายเป็นเซอร์วิสโซลูชั้น 15% จาก 13% และได้แรงหนุนเพิ่มจากเงินปันผลรับเพิ่มเป็น 1,402 ล้านบาท (+1,302%QoQ, + 214%YoY) และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มเป็น 5,708 ล้านบาท (+ 0%QoQ, +235%YoY)

ธุรกิจปิโตรเคมีกำไรโดดเด่นสุด

กำไรธุรกิจปิโตรเคมีโดดเด่นสุดสูงถึง 10,392 ล้านบาท (+18%QoQ, +128% YoY) ได้ผลบวกจากสเปรด HDPE, PP และ PVC ที่มีสเปรดที่ดีในในครึ่งแรกของไตรมาส 2Q64 นอกจากนี้ By product คือ Benzene, Toluene ก็มีสเปรดที่ดีรวมไปถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจากปิโตรเคมีฯ เพิ่มเป็น 3,927 ล้านบาท (+9%QoQ, +331%YoY) จาก MMA, BD มีสเปรดที่สูงขึ้นนอกจากนี้การออกผลิตภัณฑ์ใหม่และขายสินค้า HVA มากขึ้น ทำให้สเปรดปิโตรเคมีของ SCC สูงกว่าตลาด 100-150 เหรียญ/ตัน

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเติบโตได้และบรรจุภัณฑ์ครบวงจรเด่นต่อ

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีกำไรที่เติบโตจากปีก่อน 2,468 ล้านบาท (-12%QoQ, +27%YoY) แรงหนุนจากการส่งออกและตลาดซ่อมแซมมีการเติบโตร วมถึงมีการขายเป็นโซลูชันมากขึ้นการควบคุมต้นทุนได้ดี ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรมีกำไรที่เติบโตโดดเด่นและทำสถิติสูงสุดใหม่ 2,263 ล้านบาท (+6%QoQ, +19%YoY) จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่องและกลยุทธ์โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร และการบูรณาการภายในห่วงโซ่คุณค่า

กำไรครึ่งปีหลังจะลดลงถูกกระทบจาก Covid-19 ระบาดหนัก

ผลประกอบการครึ่งปีหลังจะถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างหนักในประเทศไทยเวียดนามและอินโดนีเซียซึ่งเป็นฐานธุรกิจหลักของ SCC และในประเทศตะวันตกก็เริ่มมีการระบาดมากขึ้น โดยธุรกิจปิโตรเคมีสเปรดปรับลดลงแรงจากต้นทุน Naphtha ที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยสเปรด HDPE-Naptha เดือน ก.ค. ลดลงเหลือเพียง 445 เหรียญ/ตันจากไตรมาส 2Q64 เท่ากับ 585 เหรียญ ตันและ PP Naphtha เดือน ก.ค. ลดลงเหลือเพียง 548 เหรียญ/ตันจากไตรมาส 2Q64 เท่ากับ 700 เหรียญ/ตัน จะกดดันกำไรปิโตรเคมีทรุดลงและธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างจะถูกกระทบจากการแพร่ระบาดขอ Covid-19 อย่างรุนแรง มีการปิดไซด์งานก่อสร้างและมีการล็อกดาวน์จะกระทบความต้องการใช้ปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง แต่กำไรครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วนถึง 71% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งเราคงประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม คาดปี 2564 กำไรจะเด่น 44,892 ล้านบาทโตสูง 32%

เงินสดในมือสูง จ่ายปันผลกำไรครึ่งปีแรก 8.5 บาท ลงทุน 8-9 หมื่นล้านบาท

SCC มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมีเงินสดในมือสูงถึง 94,543 ล้านบาทได้ประกาศจ่ายปันผลกำไรครึ่งปีแรก 8.5 บาทเราคาดจะจ่ายปันผลปีนี้เพิ่มเป็น 16-17 บาทมากกว่าปีก่อนที่จ่ายปันผล 14 บาท ปีนี้มีแผนจะใช้งบลงทุนรวม 8-9 หมื่นล้านบาทเพิ่มจากปีก่อนที่ลงทุนไป 58,300 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานปิโตรเคมีระดับ World Class LSP ในเวียดนามประมาณ 4 หมื่นล้านบาทซึ่งปัจจุบันก่อสร้างไปแล้ว 83% และมีแผนจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งแรกของปี 2566 เทียบกับกระแสเงินสดของ SCC ในรูป EBITDA ต่อปีมากกว่า 1 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงเพียงพอสำหรับเงินลงทุนและจ่ายปันผลในระดับ 16-17 บาท

ทั้งนี้โรงงานปิโตรเคมี Chandra Asri ในอินโดนีเซียซึ่ง SCC ถือหุ้น 30.57% ได้ประกาศก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมี Complex แห่งที่สอง มีกำลังการผลิต Ethylene 1.1 ล้านตัน หรือขยายกำลังการผลิตเกือบเท่าตัวจากปัจจุบัน 1.3 ล้านตัน ซึ่ง SCC จะรักษาสัดส่วนเงินลงทุน 30.57% ทำให้จะมีการจ่ายเงินลงทุนเพิ่ม 434 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 14,260 ล้านบาท

แนวโน้มผลประกอบการ 1-2 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต

แนวโน้มผลประกอบการของ SCC คาดจะเข้าสู่แนวโน้มของการกลับมาเติบโตใหม่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนสูงในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ

  1. ธุรกิจเคมิคอลส์ปี 2564 โรงงาน MOC ขยายกำลังการผลิต Olefin เพิ่ม 350,000 ตันปีในต้นไตรมาส 2Q64 ทำให้เมื่อรวม MOC + ROC กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น 11.5% เป็น 3.4 ล้านตันปีและในครึ่งแรกของปี 2566 โรงงานปิโตรเคมี LSP ในเวียดนามซึ่งเป็นโรงงานระดับ World Class กำลังการผลิต 1.6 ล้านตันจะแล้วเสร็จรวมแล้วกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 70% และยังเน้นนวัตกรรมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (HVA) ทั้งนี้ธุรกิจเคมิคอลส์กำลังศึกษาการแยกธุรกิจออกมา IPO เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตเช่นเดียวกับ SCGP โดยมีกำหนดการภายในปี 2565
  2. ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรเงินจาก IPO ประมาณ 4 หมื่นล้านบาทบวกด้วยเพดานหุ้นกู้อีก 4 หมื่นล้านบาทจะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดทางด้านเงินทุน ทำให้สามารถลงทุนในการขยายธุรกิจด้วยการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ (organic) และ/หรือการควบรวมกิจการรวมถึงทรัพย์สินอื่น (inorganic) ทำให้ระยะ 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตเป็น 2 เท่า
  3. ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนมีการขายสินค้าพร้อมบริการบวกด้วยโซลูชั่น เน้นลูกค้ารีเทลมากขึ้น และตลาดบูรณะปรับปรุงและซ่อมแซมก็เป็นตลาดที่มีการเติบโตดี รวมถึงมีเครือข่ายเอเย่นต์ที่แข็งแกร่งจะหนุนการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องในอนาคต

เราคาดกำไรปี 2564 จะเติบโตสูง 32% สู่ระดับ 44,892 ล้านบาท และปี 2565 จะเติบโตต่อ 8% สู่ระดับ 48,467 ล้านบาท

ความเสี่ยง: ปูนซีเมนต์แข่งขันสูง / ปิโตรเคมีผันผวน / เศรษฐกิจไทยชะลอตัว / ปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ Covid-19

BUY

Share Price: THB 414.00

12m Price Target: THB 520.00 (+26%)

Previous Price Target: THB 520.00

 

- Advertisement -