บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

INDORAMA VENTURES 2Q64 ดีกว่าคาด…2H64 ยังแข็งแกร่ง

Action

TRADING (Maintain)

TP upside (downside)+21.7%

Close Aug 5, 2021 Price (THB) 40.25

12M Target (THB) 49.00

Previous Target (THB) 49.00

What’s new?

  • ประกาศงบ 2Q64 กำไรสุทธิ 8.3 พันล้านบาท ดีกว่าท่ีเราและตลาดคาด 25% โดยกำไร +39% QoQ จากอัตรากำไรขณะท่ีเทียบกับ 2Q63 ขยายตัว +5,316% YoY จากปริมาณผลิต, อัตรากำไร, และกำไรสินค้าคงคลัง หากนับเฉพาะกำไรปกติทำได้ 6.5 พันล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 1H64 คิดเป็น 82-85% ของที่เราและตลาดคาดท้ังปี เราปรับกำไรปี 2564 – 2565 ขึ้น 26-36% เป็น 2.0-2.4 หมื่นล้านบาท จากการปรับ EBITDA/ตัน และกำไรสินค้าคงคลังขึ้น

Our View

  • แนวโน้ม 2H64 ลดลง HoH จากเพราะไม่ใช่ไฮซีซั่นของธุรกิจ, อุปทาน PTA ใหม่เข้าสู่ตลาด, และกำไรสินค้าคงคลังลดลง ท้ังนี้ ค่าขนส่งท่ีอยู่ระดับสูง,โรงงานท่ีปิดซ่อมกลับมาผลิตตามปกติ, อุปสงค์ในอินเดียฟื้นตัว, และเงินเคลมประกันภัยจะช่วยให้กำไร 2H64 อยู่ในระดับดี
  • คงคำแนะนำ TRADING เพราะหุ้นยังมีความไม่ชัดเจนเก่ียวกับดีลซื้อกิจการ ท้ังนี้ ระยะสั้นคาดหุ้นจะมีแรงหนุนจากงบ 2Q64 ท่ีดีกว่าคาดมาก ซึ่งนำไปสู่การอัพเกรดกำไรของตลาด

รายงานกำไรดีกว่าคาดมาก

ประกาศงบ 2Q64 กำไรสุทธิ 8.3 พันล้านบาท (+39% QoQ, +5,316% YoY) ดีกว่าท่ีเรา และ Bloomberg Consensus คาดประมาณ 25% สาเหตุหลักจากอัตรากำไร (Core EBITDA/ตัน) ทำได้ US$132/ตัน (เทียบกับคาดการณ์ที่ US$122/ตัน ซึ่งมาจากธุรกิจ IOD เป็นหลัก) และกำไรสินค้าคงคลัง 1.8 พันล้านบาท มากกว่าคาดที่ 1.2 พันล้านบาท หากหักรายการพิเศษกำไรปกติทำได้ 6.5 พันล้านบาท ดีกว่าคาดราว 15% โดยเทียบกับ 2Q63 ผลการดำเนินงานปกติดีขึ้น +176% YoY หนุนจากปริมาณผลิตที่สูงขึ้น 12% เป็น 3.6 ล้านตัน และ Core EBITDA ที่ US$132/ตัน (+43%YoY) ขณะที่เทียบกับ 1Q64 แม้ปริมาณผลิตลดลง -1% QoQ แต่ผลการดำเนินงานเติบโต +98% QoQ จาก Core EBITDA/ตัน ที่ขยายตัว 32% โดยหลักมาจากอัตรากำไรกลุ่มธุรกิจ Combined PET และธุรกิจ IOD ที่ดีขึ้นมาก

2H64 ยังแข็งแกร่ง แม้ไม่ใช่ไฮซีซั่น

สำหรับแนวโน้มกำไร 2H64 เราคาดจะอ่อนตัวลง HoH (Conservative กว่ามุมมองของบริษัทฯ ท่ีประเมินว่าจะทรงตัว HoH) เนื่องจากเรามองว่าไฮซีซั่นของธุรกิจ PET ผ่านไปแล้ว , แรงกดดันจากอุปทาน PTA ใหม่ เข้าสู่ตลาด, และกำไรสินค้าคงคลังลดลง ทั้งนี้ ภาพรวมกำไรยังอยู่ในระดับดี เพราะ 1) ตลาด PET ฝั่งตะวันตกยังได้ประโยชน์จากอุปทานตึงตัวและประเด็นค่าขนส่งที่อยู่ระดับสูง 2) อุปสงค์ในอินเดียทยอยฟื้นตัวหลังสถานการณ์ Covid-19 ดีขึ้นแล้ว 3) โรงงาน MEG และโรงงาน Gas Cracker เริ่มกลับมาผลิตใน 3Q64 ทำให้อัตรากำไรของ MEG ดีขึ้น 4) เงินประกันภัยจากเหตุการณ์ฟ้าผ่า – พายุเฮอริเคน

ปรับกำไรปี 2564-2565 ขึ้น 26-36%

กำไรสุทธิ 1H64 ขยายตัวได้ดีกว่าที่เราและ Bloomberg consensus ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยคิดเป็น 82-85% ของคาดการณเ์ดิมทั้งปี เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564–2565 ขึ้น 26-36% เป็น 2.4 หมื่นล้านบาท (+885%YoY) และ 2.0 หมื่นล้านบาท (-15%YoY จากกำไรสินค้าคงคลัง) ตามลำดับ โดยปรับสมมติฐานหลักปี 2564-2565 ดังนี้ 1) อัตรากำไร (EBITDA/ตัน) ขึ้น 6-7% เป็น US$113-117/ตัน 2) เพิ่มกำไรสินค้าคงคลังปี 2564 จาก 4.3 พันล้านบาท เป็น 6.0 พันล้านบาท

คาดหุ้นตอบรับเชิงบวกจากงบ 2Q64 และการอัพเกรดกำไร

ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ กลางปี 2565 ที่ 49.00 บาท (คงเดิม) โดยเรา De-rating Valuation ไปอ้างอิง ค่าเฉลี่ย PBV ในอดีต 10 ปีที่ 2.0x (เดิม 2.3x) เพื่อสะท้อนโมเมนตัมกำไร 2H64–2565 ท่ีลดลง แม้ราคา ณ ปัจจุบันหุ้นมี Upside gain 21.7% ทางพื้นฐานคงแนะนำ TRADING ไว้ก่อน เนื่องจากหุ้นยังมีความให้ชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียดดีลซื้อกิจการ (ปัจจุบันมี Net DER 1.3x เทียบกับ Covenant ที่ 2.0x บริษัทฯ สามารถจัดหาเงินกู้ยืมได้อีก 4 พันล้านเหรียญฯ) อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสามารถเก็งกำไรรอบสั้น คาดหุ้นจะมีแรงหนุนจากผลประกอบการ 2Q64 ดีกว่าคาดมาก ซึ่งนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการของตลาด

ความเสี่ยง – การเข้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่, นโยบายภาษีของสหรัฐ, การแพร่ระบาดของโควิด-19รอบใหม่,  การหยุดผลิตนอกแผนโดยเฉพาะฤดูมรสุมในสหรัฐฯ

- Advertisement -