บล.ทรีนีตี้:

ธนาคารกรุงไทย – KTB กำไรครึ่งปีหลังอาจอ่อนตัว แต่ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า

  • คาดแนวโน้มกำไร 2H64 อาจอ่อนตัวลงจาก 1H64
  • โดยสินเชื่ออาจเติบโตได้น้อยลงจากการปล่อยสินเชื่อในเชิงระมัดระวัง
  • ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้อาจเพิ่มขึ้นตามความรุนแรงของสถานการณ์ในปัจจุบัน
  • อย่างไรก็ตาม ประมาณการ Credit Cost ที่เดิมคาดไว้ที่ 175 bps อาจสูงเกินไป เมื่อเทียบกับภาพ 1H64 ที่สัดส่วน NPL ยังทรงตัว และสำรองส่วนเกินที่ดีขึ้นจึงปรับประมาณการ Credit Cost ลงเหลือ 160 bps
  • เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 64 ขึ้น 15% มาอยู่ที่ 20,954 ล้านบาท (+25%YoY)
  • คงราคาเป้าหมาย 14 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ผลการดำเนินงาน 1H64 ค่อนข้างแข็งแกร่ง

จากการประชุมนักวิเคราะห์ (30 ส.ค. 64) ผู้บริหารได้ชี้แจงถึงผลประกอบการ 2Q64 ที่ผ่านมา โดยมีประเด็นสำคัญคือกำไร 1H64 ปรับตัวดีขึ้น 13%YoY จากสินเชื่อรวมยังเติบโตสูงถึง 6.5%YTD โดยเป็นการเติบโตในส่วนของสินเชื่อภาครัฐเป็นหลักราว 33% YTD ส่วนสินเชื่ออื่นทางธนาคารยังค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยเน้นในการปล่อยสินเชื่อลูกหนี้เดิมที่มีความมั่นใจในคุณภาพหนี้ และมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้สินเชื่ออื่นนอกเหนือจากสินเชื่อภาครัฐเติบโตไม่มาก ขณะที่ NIM มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจาก 3.02% ในปี 2563 เหลือราว 2.64% ใน 1H64 ซึ่งเป็นผลจากการเน้นปล่อยสินเชื่อเชิงระมัดระวังในกลุ่มความเสี่ยงต่ำ ด้านสัดส่วน NPL ลดลงจาก 3.79% เหลือ 3.51% ขณะที่ NPL Coverage Ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 148% (Bank only) และ 160% (Consolidated) ซึ่งแข็งแกร่งขึ้นค่อนข้างมาก ด้านสัดส่วนลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือ ณ 2Q64 เหลืออยู่เพียง 4% จากสินเชื่อรวม

มองครึ่งปีหลังกำไรอ่อนตัว แต่ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า

เรามองว่าแนวโน้ม 2H64 สินเชื่ออาจเติบโตไม่โดดเด่นเท่ากับ 1H64 จากการระบาดรอบล่าสุด และตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทำให้ธนาคารอาจต้องเพิ่มระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่ NIM ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวจากการเน้นปล่อยสินเชื่อความเสี่ยงต่ำ ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 2H64 อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้อาจเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มคุณภาพหนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะเพิ่มขึ้น  แต่ด้วยสำรองส่วนเกินที่มีอยู่ บวกกับสัดส่วนลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือที่มีสัดส่วนไม่มาก ทำให้สำรองรวมทั้งปีอาจไม่สูงเท่ากับเดิมที่เราทำประมาณการไว้ที่ Credit Cost 175 bps เราจึงปรับประมาณการ Credit Cost ลงเหลือ 160 bps ทำให้กำไรปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 15% จากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ 20,952 ล้านบาท (+25%YoY) โดยกำไร 1H64 คิดเป็นราว 55% ของประมาณการ

คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ไม่ใช่ Top-pick

เราคงราคาเป้าหมายที่ 14 บาท อิง PBV 0.55 เท่า แม้จะมีการปรับประมาณการกำไรขึ้น แต่เราปรับลด Long-term growth ลงจาก 6% เหลือ 5% ให้สอดคล้องกับกลุ่มฯ ยังคงแนะนำ“ ซื้อ” ความเสี่ยง: การชะลอตัวของเศรษฐกิจ / คุณภาพหนี้ที่แย่ลง

- Advertisement -