บล.ฟิลลิป:
อาร์เอส–RS มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และ M&A/JV ต่อยอด
2Q64 กำไรออกมาต่ำกว่าท่ีตลาดและทางฝ่ายคาดการณ์ไว้
2Q64 มีกําไร 54 ล้านบาท -50.7% y-y กําไรที่ออกมาตํ่ากว่าตลาดและทางฝ่ายคาด จากค่าใช้จ่ายการตลาดของสินค้าใหม่สูงกว่าท่ีคาดไว้ รายได้ 2Q64 อยู่ที่ 992 ล้านบาท +19.1% y-y ใกล้เคียงกับท่ีคาดไว้ 1) รายได้พาณิชย์ -3.6%y-y แม้จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Well U และ Camu C (Mass Product ผลิตภัณฑ์แรก) แต่ COVID-19 กําลังซื้อลดลง ทําให้ยอดขายสินค้าเดิมลดลง และ 2) รายได้เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (สื่อและเพลง) +73.1% โดยธุรกิจสื่อ +73.2% จากสื่อโทรทัศน์ท่ีฟื้นตัวจากการปรับคอนเทนต์ ทั้งละครข่าวและมวย ทําให้เรตติ้งดีขึ้น รวมถึงมีรายได้จากการขายลิขสิทธ์ิเข้ามา 60 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 40 ล้านบาท และธุรกิจเพลงและอื่นๆ +73.3% จากรายได้สตรีมมิ่งทางออนไลน์ท่ีเพิ่มขึ้น ต้นทุน +16.3% จากต้นทุนธุรกิจสื่อที่สูงขึ้น จากการทํารายการ First Run และ SG&A +60% จากค่าใช้จ่ายการตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่ และการปรับโครงสร้างองค์กรมีส่วนแบ่งกําไร 10 ล้านบาท จากปีก่อนไม่มี จากบริษัท เชฎฐ์ จํากัด ที่เข้าถือหุ้นใน 1Q64 ต้นทุนทางการเงิน +66.6% จากเงินกู้ที่นํามาลงทุนในบริษัท เชฎฐ์
ขยายธุรกิจโดยการเข้า JV และเข้าถือหุ้นบริษัทอื่น ต่อยอดธุรกิจเดิม
ตั้งแต่ต้นปี 2564 บริษัทมีการ JV และเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม เริ่มจาก 1) “เชฎฐ์” ถือหุ้น 35% เงินลงทุน 920 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจทวงถามหนี้ ดําเนินคดี และบังคับคดี, และมีบริษัทย่อย 3 แห่ง ทําธุรกิจบริหารสินทรัพย์ภายใต้การกํากับดูแลของธปท., ให้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับดูแลของธปท.และรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากผู้ประกอบธุรกิจ สถาบันการเงิน และที่มิใช่สถาบันการเงิน และให้สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การเข้าถือหุ้นเพื่อมาต่อยอดธุรกิจพาณิชย์ (RS Mall) ในการให้สินเช่ือลูกค้าที่ในอนาคตจะมีสินค้าท่ีมีมูลค่าสูงขึ้น 2) “โฟร์ทแอปเปิ้ล ”ถือหุ้น 70% เงินลงทุน 17 ล้านบาท ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการและรับเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ Content & Influencer Marketing แบบครบวงจร เพื่อมาต่อยอดในธุรกิจเพลงและออนไลน์ให้กับ RS Mall รวมถึงการทําธุรกิจใหม่ๆ เพิ่ม 3) ตั้งบริษัทร่วมทุน “อาร์เอสแพลนบี” กับ PLANB และ NINE โดย RS ถือหุ้น 51% เงินลงทุน 25.5 ล้าน บาท เพื่อขยายธุรกิจพาณิชย์โดยการพัฒนาสินค้า และการทําการตลาด โดยมีเป้าหมายผู้บริโภคในวงกว้าง (Mass market) คาดจะเห็นสินค้าใน 4Q64 และล่าสุด 4) “สเปเชียลตี้โฮลดิ้ง: SNG” ถือหุ้น 33% เงินลงทุน 675 ล้านบาท ธุรกิจสกัด สารจากพืชสมุนไพร, รับจ้างผลิต (OEM) อาหารเสริม ยา สมุน ไพร และสินค้าส่วนบุคคล รวมถึงพัฒนาและผลิตสมุนไพรในแบรนด์ของตัวเอง เพื่อรองรับการผลิตสินค้าของ RS ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงผลิตภัณฑ์กัญชา/กัญ ชง และขยายไปในธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ โดย RS ยังมีแผนท่ีจะทํา JV หรือ M&A อีก 1-2 ราย ในครึ่งปีหลัง 2564–ปี 2565
จุดต่ำสุดผ่านไปแล้วใน 2Q64 จะดีขึ้นใน 3Q-4Q64 จากสินค้าใหม่และค่าใช้จ่ายการตลาดท่ีทยอยลดลง
จุดต่ำสุดคาดว่าผ่านไปแล้วใน 2Q64 โดยบริษัทได้มีการปรับตัวออกสินค้าในขนาดท่ีเล็กลง และเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆ เช่น Well U เปิดรับตัวแทนขายซึ่งจะมีการออกอีก 2 SKU และขายในโมเดิร์นเทรด, Camu C ท่ีเดิมขายใน 7-11 ก็จะเพิ่มช่องทางโมเดิร์นเทรดเช่นกัน รวมถึงการเพิ่ม SKU คาดจะทําให้รายได้ดีขึ้น สินค้าเดิมจะมีการปรับสูตรสินค้าและออก SKU เพิ่มเช่นกัน อย่างรีไวฟ์ (บํารุงเส้นผม และหนังศรีษะ, ไวตาเนเจอร์พลัสท่ีจะออกอีก 3-4 SKU, สินค้ากลุ่มอาหารเสริมอื่นๆ นอกจากนี้จะะมีสินค้าออกใหม่ใน 4Q64 กลุ่มอาหารสัตว์ และกลุ่มกัญชา/กัญชงภายใต้แบรนด์ Cama C รอราชการออกใบอนุญาตต่างๆ การเติบโตของพาณิชย์ (RSMall) จะเข้ามาช่วยลดลง ผลกระทบจากธุรกิจสื่อท่ีอ่อนตัวลงจากผลของ COVID-19 ท่ีระบาดใน 3Q64 ส่วนการขายลิขสิทธ์ิคาดจะยังใกล้เคียง 2Q64 ท่ี 60 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายการตลาดของสินค้าใหม่จะทยอยลดลง และการรับรู้ส่วนแบ่งกําไร จาก “เชฎฐ์” จะดีขึ้น จากใน 2Q64 ท่ีรับรู้ 10 ล้านบาท เพราะมีการบันทึกหนี้สงสัยจะสูญน่าจะกลับไปรับรู้กําไรที่ระดับ 25-30 ล้านบาท/ไตรมาส ได้ใน 3Q-4Q64 ทําให้ภาพโดยรวมใน 3Q-4Q64 จะดีขึ้นจาก 2Q64
แนะนํา “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2565 อยู่ที่ 23 บาท
จาก 2Q64 ที่กำไรออกมาต่ำกว่าคาด และยังมีค่าใช้จ่ายการตลาดในครึ่งปีหลังอยู่ จึงปรับลดกำไรในปี 2564 ลงเป็น 377 ล้านบาท -28.7% y-y จากเดิมที่ 521 ล้านบาท และในปี 2565 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกําลัง ซื้อที่กลับมา รวมถึงสินค้าใหม่ๆ น่าจะทํารายได้ได้ดีขึ้น คาดกําไร +76.7% ท่ี 665 ล้านบาท แต่ก็ตํ่ากว่าที่คาดเดิมท่ี 824 ล้านบาท โดยยังไม่รวมกําไรจากการขายหุ้นบางส่วนของ เชฎฐ์ และ SPG ท่ีจะเข้า IPO ใน 4Q65 ซึ่ง จะนําเงินไปชําระคืนเงินกู้ที่กู้มาลงทุน บนวิธี DCF (WACC = 7.8%, Terminal G = 3%) ราคาพื้นฐานปี 2565 อยู่ที่ 23 บาท ยังคงคําแนะนํา “ซื้อ”