JMT แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 54 บาท

จากการพูดคุยกับผู้บริหารและการติดตามงาน Opportunity Day ทางบริษัท ได้พูดถึงประเด็นการเพิ่มทุนแบบ Rights Offering ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน 4.558-5.042 หุ้น เพิ่มทุนต่อ 1 หุ้น เดิมราคาเสนอขาย 41.5 บาทและแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ JMT-W4 ในสัดส่วน 3.418 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยมีอายุ 3 ปี ราคาใช้สิทธิ 90 บาท ซึ่งในการเพิ่มทุนดังกล่าว คาดว่าบริษัทจะได้รับเงินเพิ่มทุนเข้ามาราว 10,000 ล้านบาท โดยราว 2,700 ล้านบาทจะนำไปชำระหนี้ ขณะที่อีก 7,300 ล้านบาทจะนำไปลงทุนใน NPL โดยตั้งเป้าปี 64 จะใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ราว 7 พันล้านบาท (และอาจไปถึง 10,000 ล้านบาท) หลังจากใน 1H64 ลงทุนซื้อหนี้ไปแล้วราว 3.3 พันล้านบาท ขณะที่ในปี 65 ตั้งเป้าใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ 15,000 ล้านบาท และปี 66 ตั้งเป้าใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ 20,000 ล้านบาท เพื่อรองรับกับปริมาณหนี้มีปัญหาในตลาดที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภายใน 3 ปี ทางบริษัทตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่ม AMC ในแง่ของมูลหนี้หรือสิทธิเรียกร้องจาก 1H64 ที่มีสิทธิเรียกร้อง 2.2 แสนล้านบาท ขณะที่ BAM ซึ่งเป็นผู้นำในปัจจุบันมีสิทธิเรียกร้อง 4.8 แสนล้านบาท (อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับปริมาณ NPL ที่ออกจากสถาบันการเงินในแต่ละปี และสัดส่วนการลงทุนในหนี้มีหลักประกันและหนี้ไม่มีหลักประกัน ซึ่งใช้เงินลงทุนแตกต่างกัน)

จากการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 64 เราคาดว่าอาจเกิด Price Dilution ระดับหนึ่ง (เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากจากเดิมที่มองว่า Price Dilution ไม่มาก เนื่องจากราคาเพิ่มทุนไม่ต่างกับราคาตลาดมาก) ขณะที่จะเกิด EPS Dilution ราว 18% อย่างไรก็ตาม เป้าการนำเงินไปลดหนี้บางส่วน (คาดว่าจะลดดอกเบี้ยจ่ายได้ราว 6% ของกำไรทั้งปี) และการนำเงินไปลงทุนในหนี้เพิ่มเติมจะช่วยลดผลกระทบจาก Dilution ได้ เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 65-66 ขึ้นราว 8% และ 13% มาอยู่ที่ 1,968 ล้านบาท (+44%YoY) และ 2,611 ล้านบาท (35% YoY) ตามลำดับ ขณะที่ EPS อาจเห็นการเติบโตที่น้อยลงในปี 65 บ้าง จากผลของ Dilution แต่จะกลับมาเติบโตสูงนับตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป

เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 54 บาท อิงวิธี DCF โดยสะท้อนกระแสเงินสดจากการซื้อหนี้ และจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น มองราคาหุ้นยังมี Upside จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”