บล.โกลเบล็ก:

LALIN PROPERTY PCL (LALIN)

กำไรสุทธิ 1H64 คิดเป็น 53% ของประมาณการปี 64 หนุนท้ังปีโตตามคาด

  • กำไรงวด 2Q64 เติบโต 10%QoQ แต่ลดลง 11%YoY
  • เป้าหมายยอดขายเติบโตต่อเนื่องจากปี 63 ราว 15%
  • ประมาณการกำไรสุทธิปี 64 และ ปี 65 เติบโต 7% และ 10% ตามลำดับ
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสมเป็นปี 65 ท่ี 12.3 บาท

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

  • กำไรงวด 2Q64 เติบโต 10%QoQ แต่ลดลง 11%YoY : งวด 2Q64 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,671 ล้านบาท เพิ่มข้ึน 28.4%YoY และเติบโต 9.7%QoQ และมีกำไรสุทธิ 352 ล้านบาท ขยายตัว 10%QoQ แต่ลดลง 11%YoY โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นท่ีระดับ 39% ทรงตัวท้ัง YoY และ QoQ ยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมท่ีระดับ 32% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้จากการขายที่ระดับ 9.3% ทรงตังทั้ง YoY และ QoQ อัตรากำไรสุทธิ 21.1% ปรับตัวลดลงจากระดับ 30.4% ใน 2Q63 แต่ทรงตัวจาก 1Q64 กำไรสุทธิท่ีลดลง 11%YoY เกิดจากใน 2Q63 มีรายการพิเศษจากการถูกเวนคืนจำนวน 156 ลบ. ซึ่งกำไรปกติเติบโตถึง 46%YoY ด้านฐานะการเงินยังแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่ว หน้ีสินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เท่ากับ 0.64 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมท่ีระดับ 1.25 เท่า กำไร 1H64 คิดเป็น 53% ของประมาณการกำไรทั้งปี 64 ที่เท่ากับ 1,266 ล้านบาท
  • 8M64 เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการตามแผน : ในปัจจุบันบริษัทเน้นโครงการแนวราบที่เป็น Real Demand และเป็นผู้โภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ เช่น โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝดแบรนด์ “Lanceo” ระดับ ราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนทาวน์โฮมชื่อแบรนด์ “Lio” ระดับราคา 2 ล้านบาท โดยปี 64 บริษัทต้ังเป้ามียอดขาย โครงการ 7,000 ล้านบาท และคาดยอดโอนที่จะรับรู้เป็นรายได้ราว 6,000 ล้านบาท โครงการใหม่ที่เปิดในช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 เปิดไปแล้วจำนวน 7 โครงการ มูลค่า ราว 4,500 ล้านบาท และในช่วงที่เหลือคาดเปิดตัวอีก 2-3 โครงการ รวมทั้งปีเป็น 9-10 โครงการ มูลค่ารวม 6,000-7,000 ล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 15% จากปี 63
  • คงประมาณการกำไรปี 64 และปี 65 ตามเดิม ซึ่งเติบโต 7% และ 10% ตามลำดับ : รายได้จากการโอนโครงการในปี 64 มีโอกาสแตะระดับ 6 พันล้านบาท สอดคล้องกับมูลค่าโครงการที่มีแผนเปิดขายใหม่ทั้งปีที่ราว 6-7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตราว 5% ฝ่ายวิจัยคงประมาณการรายได้และกำไรตามประมาณการเดิมที่ 6,002 ล้านบาท และ 1,266 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 4% และ 7% (เมื่อเทียบกับกำไรปกติ) ตามลำดับ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้น 2Q64 ราว 1,200 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการขายและการโอนยังคงทำได้ตามเป้าหมาย แต่คาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3Q64 มีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสสอง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวแล้วในเดือนสิงหาคม และ backlog ที่เหลือจะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะใน 4Q64 ที่มักเป็นช่วงไฮซีซั่น ส่วนปี 65 คาดรายได้จากการโอนโครงการอยู่ที่ระดับ 6,602 ล้านบาท และกำไรที่ 1,391 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 10% ทั้งรายได้และกำไร
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 12.30 บาท: ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของบริษัท จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องในการประเมินราคาเหมาะสมอิง Prospected PER ที่ระดับ 8.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับ +1.5SD ระยะ 4 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ระดับ 23.4 เท่า จากการประเมินกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 65 ที่ 1.5 บาท ได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 12.3 บาท โดยมี upside ประมาณ 30% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 6.0% ต่อปี อยู่ในระดับสูงน่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

- Advertisement -