บล.ฟิลลิป:

ไทยออยล์ – TOP GRM ฟื้นตามอุปสงค์ที่ดี

แนวโน้ม GRM ฟื้นตัวต่อ และได้ลด OSP ลง บวกต่อการดำเนินงานครึ่งปีหลัง

แนวโน้มค่ากลั่นใน 3Q64 กลับมาฟื้นตัวได้หลังสถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศคลี่คลายลง ส่งผลให้อุปสงค์การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นตามการเดินทางมากขึ้น โดยสัปดาห์ล่าสุด GRM ได้ปรับขึ้นมาที่ 5.18$/bbl จาก 3.75$/bbl คาดเป็นผลจากเฮอริเคนไอดาเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก และทำให้ต้องหยุดการผลิตทั้งน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปส่งผลให้ส่วนต่างราคาแก๊สโซลีนดีขึ้น แม้ปัจจุบันเฮอริเคนได้สงบลงแต่โรงกลั่นบริเวณดังกล่าวยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้สู่ระดับปกติ ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบหายไปราว 75% ของกำลังการผลิตในอ่าวเม็กซิโก และล่าสุดผู้ผลิตในรัฐเท็กซัสอาจเผชิญกับพายุลูกใหม่นิโคลัส และจะส่งผลต่อการผลิตน้ำมัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญแหล่งหน่ึงในสหรัฐ มีกำลังการผลิต 5.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 31% ของกำลังการผลิตในส่วนโรงกลั่น ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นสนับสนุนต่อ GRM ให้ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งยังได้ส่วนช่วยจากการที่ซาอุดิอารามโกได้ลดค่า OSP สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบของเอเชียลง 1-1.3 เหรียญ/บาร์เรล จะมีผลตั้งแต่ต.ค.64 เป็นต้นไป จะช่วยลดต้นทุนน้ำมันลงเป็นบวกต่อ TOP เนื่องจากมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางราว 53% ของการใช้ คาดจะทำให้การดำเนินงานครึ่งปีหลังดีขึ้นจากปัจจัยข้างต้น ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะใน 4Q64

จุดเปลี่ยนหลายๆ อย่างจะเกิดในปี 2565

ก่อนหน้าทางบ. ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้น PT Chandra Asri Petrochemical TBK (CAP) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรใหญ่สุดในอินโดนีเซีย ประกอบด้วยโรงแยกนาฟทา (Naphtha cracker) และเป็นแห่งเดียวในอินโดนีเซียท่ีมีโรงโอเลฟินส์, โพลีโอเลฟินส์, สไตรีนโมโนเมอร์ และบิวทาไดอีน โดยจะลงทุนผ่านบ.ย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15.38% ของหุ้นทั้งหมด สำหรับการซื้อหุ้นครั้งนี้ใช้เงินลงทุน 1,183 ล้านเหรียญ (39,116 ล้านบาท) เพื่อนำเงินที่ได้ไปขยายกำลังการผลิต CAP2 จากปัจจุบัน CAP1 มีกำลังการผลิตที่ 4.2 ล้านตัน และจะเพิ่มเป็น 8 ล้านตัน และจะเร่ิมผลิตในปี 2569 โดยในส่วนการลงทุนใหม่นี้คาดว่าบ.จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปลายไตรมาส 3 ของปี 2564 ส่วนการลงทุนใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 1,183 ล้านเหรียญ ทำให้ บ. ต้องมีแผนระดมทุนจากแหล่งต่างๆ ทั้ง 1) เงินกู้ระยะสั้นวงเงิน 913 ล้านเหรียญ 2) ขายหุ้น GPSC ได้เงินราว 20,000 ล้านบาทและ 3)เพิ่มทุนให้ผ้ผู้ถือหุ้นเดิมวงเงินราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนการระดมทุนเพื่อชำระการซื้อกิจการครั้งนี้จะ เกิดขึ้นในปีครึ่งแรกของปี 2565

คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 61 บาท

แม้การดำเนินงานครึ่งปีหลัง ธุรกิจอะโรเมติกส์ และ Lube อาจอ่อนลงจากอุปทานใหม่ทยอยเพิ่มขึ้น รวมถึงปีหน้าที่ยังมีประเด็นการเพิ่มทุนรออยู่ แต่ระยะสั้นทางฝ่ายคาดว่าราคาหุ้นจะได้ปัจจัยบวกจากกลุ่มโรงกลั่นท่ีกลับมาฟื้นตัวตามอุปสงค์ท่ีดีขึ้น รวมถึงการเข้าสู่ฤดูหนาวจะช่วยให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น และยังมีปัจจัยหนุนจากการเกิดพายุในสหรัฐ ทำให้โรงกลั่นต้องหยุดการผลิต ซึ่งล้วนหนุนให้เห็น GRM ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้ทางฝ่ายคงแนะนำ “ซื้อ” คงราคาพื้นฐาน 61 บาท

- Advertisement -