Daily View

การปรับฐานลงของ SET INDEX วานนี้ราว 1.4% อาจเกิดจาก (1) การปรับฐานลงของตลาดหุ้นฮ่องกงราว 3.3% เชื่อว่าเป็นความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ Evergrande ที่มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ อย่างไรก็คาดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนกระทบจำกัด เชิงเศรษฐกิจไทยปัจจุบันเคลื่อนไหวด้วยการบริโภคในประเทศด้วยสัดส่วน 54% ของ GDP การลงทุน ภาคเอกชน 24% และสุดท้ายการลงทุนภาครัฐ 18% ส่วนส่งออกสุทธิอยู่ที่ 4% โดยประเทศคู่ค้าจีนคิดเป็นเพียง 15% ของคู่ค้าทั้งหมด ด้านผลประกอบการ บริษัทที่มี Market Capitalization อันดับต้นๆ (พลังงาน ค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร) มักจะประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก ดังนั้นจึงเชื่อว่าเรื่องของ Evergrande มีผลต่อประเทศไทยจำกัดบนสมมติฐานที่รัฐบาลจีนจะสามารถเข้ามาควบคุมมิให้กระทบเป็นวงกว้างจนกระทบไปยังประเทศอื่น (2) การปรับตัวลงของ Dow Jones Future ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนิติบุคคล อย่างไรก็ตาม กับ SET INDEX คาดผลกระทบจำกัด แต่อาจมีบางบริษัทรับผลกระทบบ้าง อาทิ TU เนื่องจากมีกิจการในสหรัฐ ซึ่งจะเห็นว่าทั้ง 2 ประเด็นที่กดดัน SET ปิดลบ 1.4% ไม่ได้มีผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจหรือกำไรบริษัทจดทะเบียน

ขณะเดียวกันประเทศไทยเริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามา อาทิ (1) การผ่อนคลายมาตรการต่างๆจากทางภาครัฐ ล่าสุดเริ่มมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับการเปิดโรงภาพยนตร์ – สถานบันเทิง ซึ่งจะเริ่มหารือกันในวันที่ 27 ก.ย. รวมไปถึงการเปิดรับ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ข้อมูลล่าสุดจากทางผู้ว่ากรุงเทพฯระบุว่าหากครบ 3 ข้อ ได้แก่ (1.1) ประชากรกรุงเทพรับ Vaccine เข็มสองครอบคลุม 70% ซึ่งทางผู้ว่าประเมินว่าจะถึงเป้าหมายในช่วง 22 ต.ค. (1.2) การติดเชื้อมีจำนวนลดลง (1.3) ผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลน้อยลง ปัจจัยบวกถัดไป (2) รัฐบาลมีแผนจะยอมให้หนี้รัฐบาล / GDP เกินกว่า 60% แต่ไม่เกิน 70% นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ของประเทศไทยที่รัฐบาลยอมก่อหนี้เกินกว่าระดับ 60% ประเมินคร่าวๆในกรณีที่เร่งหนี้ถึง 70% ของ GDP จะสามารถกู้เพิ่มได้อีกถึง 2.3 ล้านล้านบาท ระยะสั้นอาจเผชิญแรงกดดันจาก Government Bond Yield เร่งตัวขึ้นบ้างจากอุปทานที่เร่งตัวขึ้น แต่ระยะกลางหากเม็ดเงินจากการกู้นำมากระตุ้นเศรษฐกิจจะเร่งตัวทำให้ EPS ปรับตัวขึ้น เชื่อว่าจะชดเชยกับ Government Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้นได้ โดยเราเชื่อว่าการกู้ของรัฐบาลครั้งนี้เป็นการเตรียมจะกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง 4Q21 หลังสถานการณ์ COVID-19 มีแนวโน้มดีขึ้น มองค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME GLOBAL HMPRO) สินค้า IT (COM7 SIS SYNEX) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT) ร้านอาหาร (M) มีโอกาสรับผลบวกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ

กลยุทธ์การลงทุน คงคำแนะนำทยอยสะสม Domestic ต่อไปได้แก่ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL GLOBAL HMPRO) ร้านอาหาร (M) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) ท่องเที่ยว (AOT) ศูนย์การค้า (CPN) เพื่อเตรียมรับปัจจัยบวกเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงถัดไป ส่วนระยะสั้นเน้น Defensive รวมถึงกำไรครึ่งหลังยังแข็งแกร่ง (ADVANC CBG GULF EPG MEGA SIS) รวมถึงส่งออก (ASIAN HANA KCE TU) พร้อมประเมิน SET INDEX วันนี้น่าจะเริ่มทรงตัวได้ในกรอบ 1595 – 1607

Stock Pick

MEGA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 49 บาท) คาดกำไร 3Q21 เติบโต YoY จากแนวโน้มการใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่อ่อนตัวลง QoQ จากการ lockdown ในบางประเทศ

ASIAN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22 บาท) คาดกำไร 3Q21 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากอุปสงค์อาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่แข็งที่ดีต่อเนื่อง แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเริ่มเติบโต และคาดมีกำลังการผลิตเพิ่มอีกในช่วง 2H21-1Q22

- Advertisement -