CPANEL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 8.45 บ.

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์:

CPanel Public Company Limited 

บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน)

เติบโตไปกับอุตสาหกรรม Precast ที่สดใส

• CPANEL เป็นผู้ผลิตและจำหน่าย Precast Concrete ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูง อันเป็นการสร้างการเติบโตของรายได้ผ่านทั้งการซื้อซ้ำ และการขยายฐานลูกค้าใหม่
• มองว่า CPANEL มีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก จากความนิยมใช้ Precast ที่สูงขึ้น และความต้องการบ้านแนวราบที่แข็งแกร่ง
• คาดกำไรเติบโตดีต่อเนื่องในปี 65-66 ตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งจะหนุนให้เกิด economy of scale; ประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.45 บ. อิง FY65F P/E 18.1x แนะนำ “ซื้อ”

ประเด็นการลงทุน

• ผู้ผลิต Precast Concrete ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ CPANEL ก่อตั้งธุรกิจเมื่อปี 55 โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ภายใต้ตราสินค้า “CPANEL” ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 1 โรงงานตั้งอยู่ที่ชลบุรี มีกำลังการผลิต 720,000 ตร.ม./ปี โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯปริมณฑล และจังหวัดในภาคตะวันออก เรามองว่า CPANEL ให้ความสำคัญอย่างมากกับการใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า ทั้งการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ระบบการผลิตเป็นแบบ Fully Automated อีกทั้งมีการนำ Software ต่างๆมาทำงานเชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร ทั้งหมดนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ CPANEL มีคุณภาพสูง ได้มาตรฐานตามที่ลูกค้ากำหนด และส่งมอบงานได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นการสร้างการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการซื้อของลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านการบอกต่อ
• โอกาสทางธุรกิจจากความนิยมใช้ Precast ที่สูงขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ว่าสัดส่วนการใช้ Precast ในงานก่อสร้างของกลุ่มที่พักอาศัยแนวราบของเอกชนน่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3% จาก 48% ในปี 63 เป็น 63% ในปี 68 ตามต้นทุนที่ต่ำกว่าการก่อสร้างแบบเดิม เนื่องจากการลดการใช้แรงงาน และระยะเวลาก่อสร้างที่เร็วขึ้น เมื่อประกอบกับแนวโน้มความต้องการบ้านแนวราบ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของ CPANEL ที่แข็งแกร่งตาม New Normal Behavior จากผลกระทบ COVID-19 ทำให้เรามองว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากสำหรับ CPANEL ในตลาด Precast นี้ ทั้งในด้านการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดผ่านการขยายฐานลูกค้าใหม่ และตลาดที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามความนิยมใช้ Precast ที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
• มีแผนลงทุนเพิ่ม เพื่อขยายกำลังการผลิต ด้วยการขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตใน 1H64 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 70% ประกอบกับ CPANEL ก็เห็นโอกาสในขยายธุรกิจ Precast จึงมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ด้วยการก่อสร้างโรงงานใหม่กำลังการผลิต 720,000 ตร.ม./ ปี บนพื้นที่ดินเดิมด้วยงบลงทุนไม่เกิน 500 ลบ. และคาดเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 1Q67 ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มฐานรายได้ให้สูงขึ้นในระยะยาวแล้ว เรายังคาดว่าอัตรากำไรจะสูงขึ้นด้วยตาม economy of scale เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารบางส่วนคงที่ และการเพิ่มจำนวนบุคลากรใหม่เพื่อรองรับไม่มากนัก
• คาดกำไรปี 65-66 เติบโตดีตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น ด้วยฐานกำไรที่ต่ำลงในปี 63 ทำให้เราคาดว่ากำไรในปีนี้ (ปี 64) จะเติบโตสูงมากเป็น 45 ลบ. โดยหลักจากคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นจาก 44% ในปีก่อนเป็น 70% เราคาดกำไรในปี 65 เติบโตต่อเนื่องเป็น 70 ลบ. (+56%YoY) และ 84 ลบ. (+19%YoY) ในปี 66 โดยหลักจากรายได้จากการขายที่เติบโตดีตามยอดขายบ้านแนวราบที่แข็งแกร่งตาม New Normal Behavior รวมถึงแผนธุรกิจเชิงรุกของลูกค้าที่จะเปิดโครงการใหม่มากขึ้น อีกทั้งคาดว่า CPANEL จะขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ได้เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นอีก นอกจากนั้นยังคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้นตาม economy of scale และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะลดลงตามการคืนเงินกู้ยืมจากเงิน IPO โดยกำไรที่เติบโตในช่วงปี 64-66 จะหนุนให้ระดับ ROE เพิ่มขึ้นจาก 10.9% ในปี 63 เป็น 15.8%-16.8% ในช่วงปี 64-66

การประเมินมูลค่า

• ประเมินราคาเป้าหมายพื้นฐานท่ี 8.45 บ. เราประเมินราคาเป้าหมายพื้นฐานที่ 8.45 บ.ซึ่งคำนวณมาจาก FY65FP/E18.1x โดยเป็นค่า P/E เฉลี่ยย้อนหลังของหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกัน ทั้งใน SET และ mai เรามองว่า CPANEL มีความน่าสนใจจากการอยู่ในอุตสาหกรรม Precast ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และการทำ IPO จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้สูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ”

ปัจจัยเสี่ยง

• ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ CPANEL มีความเสี่ยงหลักในการดำเนินธุรกิจ อาทิ 1) ความเสี่ยงจากสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้; 2) ความเสี่ยงจากความล่าช้าของโครงการลูกค้า; 3) ความเสี่ยงจากผลกระทบของการ ระบาดของโรคระบาดไวรัส COVID-19; และ 4) ความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต เป็นต้น