บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

A. J. PLAST PCL  มีแรงหนุนอย่างต่อเนื่อง

Action

BUY (Maintain)

TP upside (downside) +13.3%

Close Oct 01, 2021 Price (THB) 20.30

12M Target (THB) 23.00

Previous Target (THB) –

What’s new?

  • ปัญหาด้านพลังงานของจีนส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมมีการชะลอการผลิตลง ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯสามารถปรับราคาขายของฟิล์มพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และค่าขนส่งระหว่างประเทศท่ีลดลงจากอุปสงค์ที่น้อยลง คาดส่งผลให้ AJ สามารถคง GPM ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง
  • ปริมาณขายมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 4Q64 จากอุปสงค์น้ำดื่มบรรจุขวดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเหตุอุทกภัยและการคลายมาตรการ Lockdown ของภาครัฐตั้งแต่เดือน ก.ย.

Our View

  • การร่วมทุนของ SFLEX และ TU จะเป็นผลบวกกับ AJ ในระยะยาว จากการท่ี AJ เป็น Supplier ให้กับ SFLEX และ SFLEX มีโอกาสได้รับคำส่ังซื้อจาก TU มากขึ้นหลังจากการร่วมทุน รวมถึงการท่ี AJ เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวท่ีมีการผลิตฟิล์ม BOPA (ใช้บรรจุอาหาร) ท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ชื่อ ‘BioPA’
  • คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 ท่ี 23.00 บาท/หุ้น มี Upside+13.3% โดยมีโอกาสปรับประมาณการขึ้นหาก 1) บริษัทฯสามารถคง GPM ไว้ได้ในระดับสูง 2) คำส่ังซื้อสินค้ายังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 3) ค่าเงินบาท/ ดอลลาร์มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง

มีแรงหนุนอย่างต่อเนื่อง

ราคาขายไม่ถูกกดดันหลังจีนประสบปัญหาด้านพลังงาน

ในปัจจุบันปัญหาด้านพลังงานของจีนเกิดขึ้น 2 รูปแบบ คือ 1) การขาดแคลนไฟฟ้าจากต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง และ 2) บางมณฑลมีการส่ังให้ลดการดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรมลง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการปล่อยมลพิษและค่าความเข้มข้นของการใช้พลังงาน จึงส่งผลให้โรงงานท่ีผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกมีการชะลอการผลิต ส่งผลให้อุปทานตึงตัว โดยในสภาวะปกติราคาขายแผ่นฟิล์มของ AJ มักจะได้รับแรงกดดันจากราคาขายในจีน เนื่องจากเป็นสินค้ากึ่ง Commodities ทำให้มีการปรับราคาขายให้สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบได้อย่างจำกัด (คู่ค้าหันไปเลือกซื้อฟิล์มพลาสติกจากจีนในช่วงที่ราคาในจีนถูกกว่า) นอกจากนี้ การที่ภาคการผลิตของจีนชะลอตัวจะส่งผลให้ความต้องการของตู้คอนเทนเนอร์มีน้อยลง และทำให้ค่าขนส่งระหว่างประเทศปรับตัวลดลงในระยะสั้น -กลาง ดังนั้นเมื่อนำปัจจัยทั้งสองมารวมกัน จึงมีโอกาสที่ AJ จะสามารถคง GPM ไว้ได้ที่ระดับ 13.5-14.0% (ระดับเดียวกับในช่วง 1H64) เป็นอย่างน้อย ในช่วง 4Q64 (ค่าการขนส่งรวมอยู่ในต้นทุนขายของบริษัทฯ)

Demand มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นใน 4Q64

ในปัจจุบัน AJ มีสัดส่วนการขายสินค้าในประเทศ และต่างประเทศราว 50:50 จากการหันมาใช้งานผลิตภัณฑ์ในประเทศมากขึ้นของภาคการผลิต โดยในช่วง 4Q64 AJ มีโอกาสได้รับประโยชน์จาก 1) เหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ในเดือน ก.ย. – ต.ค. ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำดื่มบรรจุขวดมีความต้องการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (มีการบริจาคน้ำ ดื่มบรรจุขวด) ทำให้อุปสงค์ของแผ่นฉลากเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และ 2) ระดับการบริโภคขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่ฟื้นตัว QoQ จากการคลายมาตรการ Lockdown ของภาครัฐตั้งแต่เดือนก.ย.รวมถึงโอกาสในการเปิดโรงเรียนในเดือนพ.ย.คาดทำให้ปริมาณความต้องการแผ่นฟิล์มเติบโตขึ้นได้ราว 5-10%QoQ โดยในปัจจุบัน AJ ยังคงมีกำลังผลิตที่เพียงพอในการรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

การร่วมทุนของ SFLEX และ TU ก็เป็นผลดีต่อ AJ

เมื่อวันท่ี 30 ก.ย. SFLEX และบริษัทย่อยของ TU ได้มีการประกาศร่วมทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ Flexible Packaging โดยคาดจะเป็น Supplier ด้าน Packaging ให้กับกลุ่ม TU เป็นหลัก โดยก่อนการร่วมทุน TU จะสั่งซื้อ Flexible Packaging บางส่วนจากเกาหลี ดังนั้นการร่วมมือดังกล่าวจะส่งผลให้ Demand ฟิล์มพลาสติกในประเทศสูงขึ้น นอกจากนี้เราคาดความร่วมมือดังกล่าวจะส่งผลให้ SFLEX มีความต้องการใช้ฟิล์ม พลาสติกประเภท BOPA (Nylon) มากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ (AJ เป็น Supplier ให้กับ SFLEX อยู่แล้ว) และหาก TU มีความต้องการใช้ฟิล์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องต่อนโยบาย ESG บริษัทร่วมทุนดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของ AJ เท่านั้น เนื่องจากเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวท่ีมีการผลิตฟิล์ม Nylon เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ชื่อ ‘BioPA’ โดยบริษัทร่วมทุนของ SFLEX และ TU มีกำหนดเริ่มการผลิตตั้งแต่ 4Q65 เป็นต้นไป

มีโอกาสปรับประมาณการขึ้น

คงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ที่ 563 ล้านบาท (+16% YoY) โดยเราอาจมีการปรับประมาณการขึ้น หาก 1) บริษัทฯสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับสูง โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการลดการดำเนินงานในภาคอุตสาหกรรมของจีน และค่าขนส่งระหว่างประเทศเป็นหลัก 2) มีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (ในปีก่อนบริษัทต่างๆ มีการตุนสินค้า จึงทำให้ปริมาณขายลดลงในช่วง 4Q63) และ 3) ค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2564 ท่ี 23.00 บาท/หุ้น มี Upside +13.3% นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการยื่นคำร้องให้มีการใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาดกับสินค้าฟิล์ม BOPP ซึ่งคาดจะมีความชัดเจนในช่วง 1Q65

- Advertisement -