ปัจจัยต่างประเทศ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น  ขณะที่หุ้น Facebook ร่วงลงแรง 4.89% หลังมีรายงานว่า Facebook รวมทั้ง Instagram และ WhatsApp ต่างประสบปัญหาขัดข้องทางเทคนิคและทำให้ผู้ใช้บริการทั่วโลกไม่สามารถเข้าใช้งานได้เมื่อคืนกดดันราคาหุ้นเพิ่มเติม นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่ารัฐบาลสหรัฐอาจเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ หากยังไม่สามารถตกลงเรื่องการปรับขึ้นเพดานหนี้ทัน 18 ตุลาคมนี้การปรับฐานของตลาดสหรัฐฯอาจส่งผล sentiment เชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียวันนี้

ผลการประชุม OPEC+ เมื่อวานนี้มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรลต่อวันตามตลาดคาด ขณะที่ปัญหาขาดแคลนพลังงานในจีนและยุโรป ส่งผลให้ราคาพลังงานอย่างราคาน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหินเร่งตัวสูงขึ้นในระยะสั้น โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีเมื่อคืนนี้ ซึ่งเราคาดว่าราคาพลังงานจะยังทรงตัวระดับสูงโดยเฉพาะฤดูหนาวนี้ ส่ง sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำอย่าง PTTEP และ SPRC อย่างไรก็ตามในปีหน้าเราคาดว่าปัญหาการขาดแคลนพลังงานจะลดลงและอุปทานที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นในตลาด โดยเราคาดว่าตลาดน้ำมันจะกลายเป็น surplus (อุปสงค์น้อยกว่าอุปทาน) ในปีหน้าจะจำกัด upside ของราคาพลังงานในระยะกลาง-ยาว ทั้งนี้การพุ่งขึ้นของราคาพลังงานส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุนเรื่องความเสี่ยงเงินเฟ้อที่จะยังทรงตัวในระดับสูงต่อไปนานกว่าที่ตลาดคาดและความเสี่ยงที่จะเกิดสภาวะ Stagflation เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนติดตาม ความกังวลดังกล่าวกดดันบรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้

ปัจจัยภายในประเทศ: อัพเดตสถาณการณ์โควิดในประเทศยังคลี่คลายต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ที่แล้วถือเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 10 สัปดาห์ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงต่ำกว่าระดับ 1 หมื่นราย โดยสัปดาห์ที่ผ่านมายอดผู้ติดเชื้อ, ยอดผู้เสียชีวิตและผู้เข้าโรงพยาบาลต่างอยู่ในทิศทางขาลง ขณะที่การฉีดวัคซีนล่าสุดสามารถฉีดเข็ม 1 ได้กว่า 54.9 ล้านโดสทั่วประเทศหรือประมาณ 77% ของจำนวนประชากร โดยในกทม.ที่ฉีดเข็มหนึ่งไปแล้ว 100%  ส่วนการฉีดเข็มสองได้ประมาณ 52% ทั้งนี้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันคาดว่าจะต่ำกว่า 5,000 รายช่วงต้นเดือนพ.ย. ดังนั้นสถาณการณ์โควิดที่คลี่คลายต่อเนื่องจะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเปิดเมืองปรับตัวขึ้นและคาดว่าจะ outperform กลุ่ม Global play ที่คาดว่าจะชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกที่จะเริ่มชะลอตัวในช่วงไตรมาสสี่ ขณะที่สถาณการณ์น้ำท่วมคาดว่าจะไม่ลุกลามจนส่งผลกระทบเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยยะ ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือประเด็นการเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะมีการยุบสภาเลือกตั้งในระยะอันใกล้นี้หรือไม่ ที่อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงขึ้น

กลยุทธ์การลงทุน: จากนโยบายการเงินของธนาคารทั่วโลกจะเริ่มผ่อนคลายน้อยลง ดังนั้นคำแนะนำเน้นลงทุนกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นขนาดเล็กในช่วงที่ Fed ทำ QE Tapering นอกจากนั้นแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Domestic reopening ที่คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวได้ดีกว่ากลุ่ม reopening ที่ต้องขาดหวังนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่เร็วนัก

มุมมองตลาดหุ้น วันนี้คาด SET 1600-1610 หุ้นแนะนำ SPRC

1) SPRC (ราคาพื้นฐาน 11.10 บาท) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากปัญหาขาดแคลนพลังงานในจีนและยุโรปและอุปทานที่ยังตึงตัวระยะสั้น

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ 

วันอังคาร ติดตาม ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยเดือน ก.ย. การประชุมธนาคารกลางออสเตรเลียคาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.1% ตัวเลข Markit Service PMI ของยูโรโซนเดือน ก.ย. คาด 56.3 จุด (-4.6% MoM) ตัวเลข ISM non-manufacturing PMI ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด -2.8% MoM เป็น 60 จุด และถ้อยแถลงของ BOJ Gov Kuroda และ ECB President Lagarde

วันพุธ ติดตาม ตัวเลข Retail sales ของยุโรปเดือน ส.ค. คาด +0.8% MoM ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ โดย ADP เดือน ก.ย. คาด +4.3 แสนตำแหน่ง และปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ รายสัปดาห์

วันพฤหัสฯ ติดตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยเดือน ก.ย. และตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯรายสัปดาห์คาด 3.44 แสนคน วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข Caixin Service PMI ของจีนเดือน ก.ย. คาด +4.9% MoM เป็น 49 จุด ตัวเลข Non-farm payrolls ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +4.6 แสนตำแหน่ง ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐฯเดือน ก.ย. คาด 5.1% ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +4.6% YoY และตัวเลข Wholesale inventories ของสหรัฐฯเดือน ส.ค. คาด +1.2% MoM

- Advertisement -