Daily View
เมื่อวานที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ 41.4 นับเป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้นหลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่ต้องติดตาม 3 ปัจจัย (1) สถานการณ์น้ำท่วม (2) ราคาน้ำมัน (3) การเมืองในประเทศ สำหรับความเห็นเราการฟื้นตัวครั้งแรกของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคถือเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน แม้ระยะสั้นอาจเผชิญผลประกอบการ 3Q21 ที่อ่อนแอ แต่เชื่อว่าตลาดจะให้น้ำหนักกับผลประกอบการ 4Q21 มากกว่ารวมถึงแนวโน้มปี 22 ที่จะดีขึ้นต่อเนื่อง มองกลุ่ม Domestic Play ได้ประโยชน์ (ค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์ สื่อ)
สำหรับ SET INDEX วันนี้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นกรอบ 1634 – 1645 บรรยากาศ โดยรวมยังเป็นบวกหนุนจาก (1) Dow Jones ที่ปิดบวก 0.98% ตอบรับเชิงบวกต่อข่าวสหรัฐบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้ รวมถึงภาคแรงงานที่ออกมาดีหลังรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงน้อยกว่านักวิเคราะห์ประเมิน (2) ราคาน้ำมันดิบ BRT กลับมาฟื้นตัว 1.1% หลังสหรัฐรายงานว่ายังไม่มีแผนจะระบายน้ำมันจากคลังสำรองยุทธศาสตร์ (3) Nikkei เช้านี้เคลื่อนไหวแดนบวกแข็งแกร่ง ถึง 1.58% โดยคืนนี้มีปัจจัยติดตามคือการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ Bloomberg ประเมินที่ 4.9 แสนตำแหน่ง พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ 5.1% เราตั้งข้อสังเกตุว่าปัจจุบันหลังสหรัฐรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด อาทิ PMI หรือแม้กระทั่งภาคแรงงานสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมา กลับไม่ส่งผลให้ตลาดวิตกกับเงินเฟ้อแต่อย่างใด อาจตีความได้ว่าปัจจุบันตลาดกำลังชอบตัวที่เลขเศรษฐกิจที่ดีมากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ ดังนั้นคืนนี้ตัวเลขแรงงานสหรัฐที่ดีกว่าคาดก็อาจจะเป็นบวกกับตลาดมากกว่า ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวก็เริ่มมีสัญญาณบวกเรื่อยๆ ล่าสุดอังกฤษได้ประกาศผู้ที่มาจากไทยและฉีด Vaccine ครบสามารถเข้าได้โดยไม่ต้องกักตัว มอง AOT รับผลบวกมากสุด
กลยุทธ์การลงทุน คงคำแนะนำทยอยสะสม Domestic Play ต่อเนื่อง ค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME GLOBAL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) สื่อนอกบ้าน (PLANB VGI) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) ร้านอาหาร (M) ท่องเที่ยว (AOT) ขณะเดียวกันระยะสั้นก็สามารถ Trading ได้เช่นกัน
Stock Pick
M (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 61 บาท) ราคาหุ้น Laggard ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด เพียง 9% เทียบกับ Domestic Play ตัวอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นมากกว่านี้ ขณะที่ M จะเป็นผู้ได้ประโยชน์เช่นกัน จากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายและราคายังมี Upside เทียบก่อน COVID-19 ถึง 31%
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 25 บาท) คาด 3Q21 มีกำไรสุทธิที่ 1,802 ลบ. (- 12%YoY,-23%QoQ) การลดลงดังกล่าวเกิดจากฐานที่สูงและการปิดโรงงาน 3 แห่งเพื่อป้องกันโควิด นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายทางการตลาด และการรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทร่วมเข้ามาด้วย (3Q20 รับรู้กำไร) แนวโน้ม 4Q21 คาดยังดูดี เมื่อเทียบกับปีก่อนหลังโรงงานที่ปิดไปกลับมาเปิดแล้ว แต่หากเทียบกับ 3Q21 อาจจะเห็นการชะลอตัวซึ่งเป็นผลตามฤดูกาล