กลุ่มอุตสาหกรรม | ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ |
หุ้น | STGT |
มูลค่าพื้นฐาน | 36.75 |
คำแนะนำ | HOLD |
เราคาดกำไรสุทธิ 3Q21F จะเติบโต 19%yoy เป็น 7.4 พันลบ. แต่ลดลง 29% qoq จากคาดการณ์ราคาขายเฉลี่ยลดลง 33% เราปรับคาดการณ์กำไรปี FY21F ลง 9% จาก 2.79 หมื่นลบ. เป็น 2.54 หมื่นลบ. จากปริมาณขายที่ลดลง ขณะที่เราคาดกำไรปี FY22F จะลดลง 53% yoy เป็น 1.31 หมื่นลบ. จากอุปทานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจะกดดันราคาขายเฉลี่ย คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 36.75 บาท
กำไร 3Q จะลดลงต่อเนื่อง qoq
คาดราคาขายเฉลี่ยในสกุลดอลลาห์จะลดลง -33% qoq ใน 3Q สู่ USD48.5 ต่อ 1,000 ชิ้น หรือลดลงเหลือประมาณ 1,600บาท ต่อ 1,000 ชิ้น เนื่องจากกำลังการผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะถุงมือยางไนไตรจากจีน ขณะที่ปริมาณขายจะฟื้นตัว 28% qoq เป็น 7.3 พันล้านชิ้นหนุนจากโรงงานในตรังและสุราษฏร์ธานีกลับมาดำเนินการตามปกติหลังหยุดการผลิตชั่วคราวเนื่องจากเกิดการระบาด COVID-19 ในโรงงาน ส่วนต้นทุนการผลิตจะลดลงเล็กน้อย 3% จากราคาน้ำยางที่ลดลง 16%qoq คาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 54.0% เทียบกับ 66.7% qoq ใน 2Q แม้ว่าปริมาณขายจะฟื้นตัวเป็น 7.3 พันล้านชิ้น แต่กำไรปกติใน 3Q จะลดลง 29%qoq เป็น 5.3 พันลบ. ตามอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง
ภาพปี 2022 ไม่สดใส
แม้บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิต 39% เป็น 50,000 ล้านชิ้นต่อปีในปีหน้า แต่คาดว่ากำไรปี FY22F จะลดลง 53%yoy เป็น 1.31 หมื่นลบ. โดยเราคาดว่าอุปทานทั่วโลกที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาขายเฉลี่ยลดลงเป็น 1,000 บาทต่อ 1,000 ชิ้น เนื่องจากกำลังการผลิตทั่วโลกในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 30% ซึ่งเร็วกว่าอุปสงค์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 15-20%
คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 36.75 บาท
เราปรับคาดการณ์กำไรปี FY21F ลง 9% จาก 2.79 หมื่นลบ. เป็น 2.54 หมื่นลบ. หลังปรับสมมติฐานปริมาณขายที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดผลิตที่โรงงานตรังและสุราษฏร์ธานีชั่วคราวจากการระบาด COVID-19 ภายในโรงงาน และการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และความแออัดของเส้นทางขนส่ง เราปรับอัตราการผลิตในปี FY21F ลงจาก 82.5% เป็น 75.0% คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 36.75 บาทต่อหุ้น เนื่องจาก (1) อุปทานทั่วโลกจะเติบโตเร็วกว่าอุปสงค์และ (2) ความเสี่ยงดาวน์ไซด์จากราคาขายเฉลี่ยที่ต่ำลงในปีหน้า