นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC

BGC ประเมินดีมานด์บรรจุภัณฑ์แก้วไตรมาสสุดท้ายฟื้นตัวแข็งแกร่ง หลังรัฐบาลประกาศเตรียมเปิดประเทศ หนุนภาพรวมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและบริการ บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคักในช่วงไฮซีซั่น ตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2564 เติบโตกว่าปีก่อน พร้อมปรับโมเดลธุรกิจสู่ Total Packaging Solutions เพิ่มรายได้จากพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงการณ์กำหนดเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยจะนำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสจาก 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว และภายในวันที่ 1 ธันวาคมนี้จะพิจารณาอนุญาตให้สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านได้ ตลอดจนการเปิดสถานบันเทิงและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจภายใต้มาตรการสาธารณสุขที่เหมาะสม ถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ถือเป็นไฮซีซั่นของการเฉลิมฉลอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์แก้ว ซึ่งเป็นพอร์ตสินค้าหลักของบริษัทที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

ด้านผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี และมีโอกาสเติบโตใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ที่มีรายได้จากการขาย 3,020 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 4/63 คาดว่าจะลดลง เนื่องจากปีนี้ได้รับผลดีเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว โดยประเมินผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 จะมียอดขายเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อ ยจากสถานการณ์โควิดที่น่าจะผ่อนคลายยิ่งขึ้น ส่วนในปี 2565 เชื่อว่าผลประกอบการจะเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น

สำหรับปัจจัยสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตของบริษัท นอกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเตรียมเปิดประเทศ ยังมาการปรับโมเดลธุรกิจจากผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว สู่ Total Packaging Solutions เพิ่มพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษ ขวด PET ฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก หลอดฟรีฟอร์ม เป็นต้น โดยล่าสุดบริษัทได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน เพื่อเพิ่มโอกาสต่อยอดสู่การผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน รองรับการเข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำและเพิ่มความหลากหลายในการนำเสนอสินค้า ซึ่งคาดว่า กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์อื่น จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10-15% ของรายได้จากการขายรวม

นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายการลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ในโรงงานจังหวัดราชบุรี และขยายกำลังการผลิตในโรงงานจังหวัดปราจีนบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมทุกโรงงานเพิ่มขึ้นอีก 12% จาก 3,495 ตันต่อวัน เป็น 3,935 ตันต่อวัน สามารถเพิ่มยอดขายได้อีกปีละกว่า 1,000 ล้านบาท และสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวที่จะเติบโตก้าวกระโดดด้วยเป้าหมายเพิ่มรายได้อีกกว่าเท่าตัว จากกว่า 11,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เป็น 25,000 ล้านบาท ภายในปี 2568

**************************

- Advertisement -