บล.คันทรี่ กรุ๊ป:
- BGC จะถือหุ้น 19.97% ใน BGE หลังจากการแลกหุ้น SPM กับ BGE และได้รับเงินสด 608 ล้านบาท (338 ล้านบาทจากการขายหุ้น BGE 7.4% ให้แก่บริษัทแม่ BG และ 270 ล้านบาทที่เป็นการคืนเงินกู้จาก SPM) บริษัทจะบันทึกเงินปันผลรับจาก BGE ด้วยวิธี Cost method ใน 4Q21 เป็นต้นไป
- เราคาดว่าบริษัทจะรายงานผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 3Q21 ท่ี 102 ล้านบาท (-34%YoY, -16%QoQ) จากอัตรากำไรขั้นต้นที่หดตัวจากราคาเชื้อเพลิงท่ีเพิ่มสูงข้ึน
- ใน 2022 กำไรมีแนวโน้มที่เติบโตด้วยแรงหนุนจากโครงสร้างธุรกิจใหม่ของบริษัทและการ M&As ที่จะเกิดขึ้น
เราปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ด้วยมูลค่าเหมาะสมที่ 11.80 บาท อิง 15xPE’22 ซึ่งใกล้เคียงกับ The Thai packaging สะท้อน Upside จากการปรับโครงสร้างเมื่อข้อตกลงแลกเปลี่ยนหุ้นเสร็จสิ้น
บันทึกงบจาก BGE ด้วยวิธี Cost method นับตั้งแต่ 4Q21 เป็นต้นไป
แลกหุ้น SPM และขายหุ้น BGE ลดสัดส่วนเหลือ 19.97% พร้อมรับเงินสด 608 ล้านบาท
- บริษัททจะขายหุ้น 100% ที่ถืออยู่ใน SPM ให้แก่ BGE เพื่อแลกกับหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 7.5 ล้านหุ้นหรือ 27.3% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BGE มูลค่า 1.25 พันล้านบาท
- จากนั้นบริษัทจะจำหน่ายหุ้น 7.4% ใน BGE ให้กับ BG ซึ่งเป็นบริษัทแม่เพื่อแลกกับเงินสดจำนวน 338 ล้านบาท บริษัทจะยังคงถือหุ้นใน BGE ที่สัดส่วน 19.97% และจะบันทึกรวมเข้าในงบการเงินโดยวิธีราคาทุน (Costmethod) นับตั้งแต่ 4Q21 เป็นต้นไป
- SPM จะชำระคืนเงินกู้จำนวน 270 ล้านบาทให้แก่ BGC หลังจากกู้ยืมจาก BGE
- ข้อตกลงจะต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน
เราเห็นการตัดสินใจที่ชัดเจนของบริษัทในการบรรลุเป้าหมายระยะยาวในการเป็น “Total Packaging Solution” ในขณะที่ยังคงสถานภาพในธุรกิจพลังงาน และเนื่องจากการบันทึกงบด้วยวิธี Cost method บริษัทจะรับรู้กำไรของ BGE ในรูปของเงินปันผล
Upside กำไร 12% จากการปรับโครงสร้าง
- D/E ของบริษัทจะลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 2.50 เท่า สู่ 1.96 เท่าใน 4Q21 ด้วยแรงหนุนจากกำไรที่เกิดจากการขาย SPM และเงินปันผลจาก BGE
- เราเชื่อว่า D/E ที่ 1.96 เท่า เป็นระดับที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้ โดยพิจารณาเงินสดที่บริษัทได้รับจากการขายหุ้นจำนวน 608 ล้านบาท ใน 4Q21 ซึ่งบริษัทสามารถใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อชำระหนี้ระยะสั้น รวมถึงลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต่อไปในอนาคตได้
- ในขณะเดียวกันจากการ M&As ใหม่ๆ เราคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วอีก 13% ภายในปี 2023E
- เราคาดว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 12% ที่ 10%ROE จากการรับรู้เงินสดจากการขายหุ้นจำนวน 608 ล้านบาทใน 4Q21 แต่เราปล่อยไว้ให้เป็น Upside และจะรวมเข้าไว้ในประมาณการของเราหลังจากธุรกรรมเสร็จสิ้น
โครงสร้างธุรกิจของ BG (บริษัทแม่ของ BGC) ก่อนและหลังการปรับโครงสร้าง
- Solar Power Management (SPM) เป็นบริษัทโฮลดิ้งในประเทศไทย โดยถือหุ้น 67% ใน Phu Khanh Solar Power Join tStock (PKS) ซึ่งจดทะเบียนในเวียดนาม โดยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภายใต้ PKS มี 2 โครงการ ได้แก่ XT และ XT2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 110MW
- BGE เป็นบริษัทลูกของ BG (บริษัทแม่) ดำเนินธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 15 แห่ง ถือหุ้นราว 70%-75% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม หลังจากข้อตกลงเสร็จสิ้น BGE จะมีโรงไฟฟ้าในมือ 17 โครงการ พร้อมกำลังการผลิตรวม 166MW ซึ่งเรามองว่าแนวโน้มที่เติบโตของ BGE เป็น Upside ต่อกำไรของบริษัทท่ีจะรับรู้เงินปันผลเข้ามาตั้งแต่ใน 4Q21 เป็นต้นไป
คาดกำไรสุทธิ 3Q21 แย่สุดในรอบ 5 ไตรมาส
ต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น กดดันกำไร 3Q21
- เราคาดว่ากำไรของบริษัทใน 3Q21 จะลดลงสู่ 102 ล้านบาท (-34%YoY,-16%QoQ) ด้วยแรงกดดันจากการชะลอตัวในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว QoQ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขายขวดแอลกอฮอล์และน้ำอัดลมที่ลดลง ผลกระทบจากมาตรการที่เข้มงวดทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่หดตัวจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
- เราคาดว่ารายได้จะอ่อนตัว QoQ เป็น 3.1 พันล้านบาท (+16%YoY, -2%QoQ) จากฐานท่ีสูงในไตรมาสท่ีแล้วที่ทำสถิติสูงสุด รวมทั้งความต้องการบรรจุภัณฑ์แก้ว และบรรจุภัณฑ์แก้วอื่นๆที่ลดลง ด้วยผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในอาเชียน ในขณะเดียวกันการ M&A ส่งผลให้เกิดการเติบโต YoY
- ในปัจจุบันด้วยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาแตะบริเวณ US$80/bbl เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะหดตัวสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบสามไตรมาสที่ผ่านมาท่ี 15.3% จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น
- อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของกำไรใน 4Q21 ได้แรงหนุนจากโครงสร้างธุรกิจใหม่ และอุปสงค์ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วที่ฟื้นตัวหลังการคลายล็อคดาวน์ ซึ่งจะช่วยชดเชยราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้
Result Summary
กาไรของบริษัทใน 2Q21 อยู่ที่ 122 ล้านบาท (+53%YoY, -33%QoQ) ผลการดำเนินงานใน 1H21 เป็นไปตามท่ีเราคาดไว้โดยคิดเป็น 60% ของการคาดการณ์ของเราใน 2021E
- หากไม่รวมรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ 124 ล้านบาท (+33%YoY, -34%QoQ)
- การเติบโต YoY ก็เกิดจากรายได้ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.2 พันล้านบาท (+44%YoY, +4%QoQ) จากยอดขายเบียร์และน้ำอัดลมในประเทศท่ีเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยอัตรากำไรขั้นต้นท่ีหดตัวจากต้นทุนเชื้อเพลิงท่ีสูงขึ้น
- ใน 2Q21 รายได้จากธุรกิจพลังงานอยู่ที่ 131 ล้านบาท (- 7%YoY)
- อัตรากำไรขั้นต้นลดลงสู่ 17.4% จาก 20.3% ใน 2Q20 จากต้นทุนเชื้อเพลิงท่ีสุงขึ้น
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไปและบริหารต่อยอดขายลดลงเป็น 10.9% จากท่ี 12.3% ใน 2Q20 ในขณะท่ีรายได้เพิ่มขึ้น
Revenue Breakdown
BGC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วหลักหลายประเภท รวมถึง:
ขวดเบียร์ (สัดส่วน 44% ของรายได้)
ขวดน้ำอัดลม (สัดส่วน 38% ของรายได้)
ขวดอาหารและขวดอาหารขนาดเล็ก (สัดส่วน 7% ของรายได้)
อื่นๆ (สัดส่วน 11% ของรายได้)
ขวดประเภทอื่นๆ นั้นรวมถึงภาชนะ บรรจุเครื่องดื่มชูกำลัง สุรา ไวน์ ยาฆ่าแมลงและยา โดยมีลูกค้าในประเทศคิดเป็น 90% ของยอดขายและส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ลาว เวียดนาม พม่า ศรีลังกา อินเดีย และเกาหลีใต้