ปัจจัยต่างประเทศ: ติดตามการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนทิศทางตลาดต่อจากสัปดาห์ก่อน ล่าสุด 23% ของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 รายงานออกมาแล้วโดยมีถึง 84% ของจำนวนบริษัทที่รายงานกำไรออกมาได้ดีกว่าคาดและ earnings growth 3Q21 สหรัฐฯคาดว่าจะเติบโต 32.7% ถ้าสุดท้ายออกมาจริงตามคาดจะทำให้เป็นไตรมาสที่เติบโตสูงที่สุดอันดับสามตั้งแต่ปี 2010 ทั้งนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ FAAMG (Facebook, Apple, Amazon, Microsoft, Google) ต่างมีกำหนดรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ทั้งสิ้น ซึ่งถ้าออกมารายงานดีกว่าคาดอาจช่วยหนุน sentiment บวกต่อตลาดหุ้นต่อไปก่อนที่จะถึงการประชุม Fed (FOMC Meeting) ในสัปดาห์หน้า (2-3 พ.ย.) ที่ตลาดหุ้นอาจกลับมาผันผวนระยะสั้นอีกครั้ง

ปัจจัยภายในประเทศ: ติดตามการทยอยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไทยสรุปรายงานงบกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 3.25 หมื่นลบ. (-21% QoQ และ +45% YoY) สูงกว่าที่เราคาดไว้ 14% จาก รายได้ทั้ง NII และ non-NII รวมถึงการตั้งสำรอง (ECL) ที่ลดลง คุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่งด้วย NPL ratio ที่ทรงตัว สินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ส่วนใหญ่ลดลง QoQ งบดุลโดยรวมค่อนข้างแข็งแกร่ง ประเด็นสำคัญ จากการประชุมนัก วิเคราะห์เป็นไปในเชิงบวกเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดธุรกิจ ทั้งนี้เราคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นเด่นในกลุ่มมอง BBL และ TISCO ขณะเดียวกัน เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อ BAY (จากการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง) และ TTB (การผนึกกำลังกับ TBANK) ขณะที่มีมุมมองเชิงบวกน้อยลงต่อ KTB หลังคุณภาพสินทรัพย์อ่อนตัวลง ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่าอาจจะได้รับ sentiment บวกหนุนระยะสั้นจาก spread ปิโตรทั้งโอเลฟินส์และอะโรเมติกต่างปรับตัวสูงขึ้น หลังจาก EU ได้ประกาศ surcharge เพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลังราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นมาต่อเนื่อง

ขณะที่ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังคือรายงานว่ามีการพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ “เดลต้าพลัส” เป็นรายแรกในประเทศไทย ซึ่งเดลต้าพลัสที่ระบาดมากในอังกฤษเป็นสายพันธุ์ที่สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์เดลต้าปกติ ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออาจเร่งตัวสูงขึ้นได้ในระยะข้างหน้า ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม reopening ที่ปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอาจมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้ออาจจะเพิ่มขึ้น แต่หากจำนวนเตียง, จำนวนเคสร้ายแรงและจำนวนผู้เสียชีวิตไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ เราคาดว่ามีความเป็นไปได้ต่ำที่ภาครัฐจะกลับไปปิดเมืองหรือ full lockdown อีกครั้ง

มุมมองตลาดหุ้น วันนี้คาด SET 1635-1640 หุ้นแนะนำ BCH, BGRIM

1) BCH (ราคาพื้นฐาน 26.30 บาท) คาดรายงานงบไตรมาสสามเติบโตสูงทั้ง +342% YoY และ +60% QoQ ทำจุดสูงสุดใหม่ทั้งรายได้และกำไร โดยบริษัทได้ประโยชน์ทั้งการรักษาโควิดและการเปิดประเทศรับผู้ป่วยต่างประเทศ ขณะที่ระยะสั้นอาจได้รับ sentiment บวกหนุนหลังมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อเดลต้าพลัส รายแรกในประเทศ ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงจำนวนผู้ป่วยใหม่อาจเร่งตัวขึ้นได้

2) BGRIM (ราคาพื้นฐาน 55.00 บาท) หุ้นเด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมจากราคาหุ้นยังถือว่า laggard และบริษัทกำลังศึกษาการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันอังคาร ติดตาม ตัวเลข New home sales ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +1% MoM เป็น 0.76m ยูนิต

วันพุธ ติดตาม ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยเดือน ก.ย. ตัวเลข Durable goods orders ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด -1% MoM ตัวเลข Wholesale inventories ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +0.5% MoM และปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ รายสัปดาห์

วันพฤหัสฯ ติดตาม การประชุม BOJ คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% และติดตามว่า BOJ จะต่ออายุมาตรการ Covid funding measures ที่จะหมดอายุในเดือน มี.ค. 2565 หรือไม่ การประชุม ECB ซึ่งคาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.5% ตัวเลข GDP 3Q21 ของสหรัฐฯ คาด +2.8% QoQ ตัวเลข Pending home sales ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +0.5% MoM และตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯรายสัปดาห์คาด +3 แสนคน

วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข GDP 3Q21 ของยุโรปคาด +3.5% YOY ตัวเลข Inflation Flash เดือน ต.ค. ของยุโรป คาด 3.7% YoY ตัวเลข Personal income ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด -0.1% MoM ตัวเลข Personal spending ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +0.5% MoM ดัชนี PCE price index ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. คาด +4.4% YoY และตัวเลข Michigan consumer sentiment เดือน ต.ค. คาด -1.6% MoM เป็น 71.6 จุด

- Advertisement -