ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index แกว่งตัวในแดนบวกได้ในช่วงต้นชั่วโมงการซื้อขาย ก่อนที่จะมีแรงขายออกมากดดันตลอดทั้งวัน และทำให้ดัชนีปิดลบ 9.22 จุด โดยขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน และตอบรับประเด็นการเปิดเมืองไปพอสมควรแล้ว สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 1.2 พันลบ. และ 2.1 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Short Index Futures สูงถึงเกือบ 3 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้: 

ราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,630-1,640 จุด บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเป็นบวกมากขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับขึ้นได้ดี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม โดยรวมยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจน โฟกัสของตลาดคาดว่ายังอยู่ที่การประกาศผลประกอบการ 3Q21 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งสำหรับไทยไม่สดใส แต่จะทยอยฟื้นใน 4Q21 เป็นต้นไป และสอดคล้องกับการเริ่มเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. นี้ ส่วนความกังวลด้านเงินเฟ้อโลกยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามและกดดันเป็นระยะ หากยังไม่เห็นสัญญาณการคลายตัวอย่างชัดเจน กลยุทธ์ยังเน้นถือลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงเงินเฟ้อ และกลุ่ม Reopening Play โดยเฉพาะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำ และ Laggard SET Index เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมี COVID-19 ได้แก่ กลุ่มธนาคาร พลังงาน/โรงกลั่น อสังหาฯ ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว รับเหมาฯ

กลยุทธ์: เก็งกำไรหุ้นที่คาดงบ 3Q21 แข็งแรง // ยังลงทุนในหุ้น Value และ Reopening Play

หุ้นเด่นเดือนต.ค.: CFRESH, CK, KBANK, KCE, ORI

หุ้นเด่นวันนี้: EKH

  • แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท•
  • คาดกำไร 3Q21 โตก้าวกระโดดทั้ง Q-Q และ Y-Y จากการระบาดของ COVID-19 ที่รุนแรง และจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูง หนุนรายได้จากการรักษาทั้ง Hospital & Hospitel ให้ยังเติบโตแรง
  • ประมาณการกำไรปี 2021 ที่คาด +128% Y-Y มี Upside นอกจากนี้เราคาด EKH เป็นอีกหนึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศซึ่งจะหนุนให้ลูกค้า IVF ชาวจีนทยอยกลับเข้ามาใช้บริการอีกครั้งในปี 2022 เป็นต้นไป
  • แนวรับ 7.85 // 7.60 บาท แนวต้าน 8.15-8.30 // 8.60 บาท

Fund Flow:

วานนี้กระแสเงินยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องอีก US$ 189 ล้าน นำโดยอินโดนีเซียและไต้หวัน US$ 215 ล้าน และ US$ 92 ล้าน ตามลำดับ แต่พลิกไหลออกจากไทย US$ 63 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้า แต่ไม่หนาแน่นนัก ตลาดยังคง Monitor ปัจจัยเงินเฟ้อเป็นหลัก

ประเด็นสําคัญวันนี้

(+) SYNEX คาดกำไรปกติ 3Q21 -3% Q-Q, +23% Y-Y แข็งแกร่งมากแม้จะเป็น Low Season และมี Lockdown จากสินค้ากลุ่ม Gaming และ Enterprise ที่โตแข็งแรง ขณะที่ Margin ปรับตัวขึ้น เรายังคาดกำไรปี 2021-2022 +22% Y-Y และ +29% Y-Y ตามลำดับ ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 31.30 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) ICHI ถูกกระทบจาก COVID-19 คาดกำไร 3Q21 อ่อนลง Q-Q โดยกระทบทั้งรายได้ในไทยและส่งออกไปกัมพูชา แต่จะฟื้นตัวใน 4Q21 หลังคลาย Lockdown และสดใสอีกครั้งในปี 2022 จากการฟื้นของธุรกิจเดิม, คําสั่งซื้อลูกค้า OEM เพิ่มขึ้นและลูกค้าใหม่ และยังมีแผนออกสินค้าใหม่ โดยเฉพาะกัญชงใน 1Q22 เป็นรายแรกๆ อย่างไรก็ตาม เราปรับลดกําไรปี 2021-2022 ลงเป็น +10% Y-Y และ +20% Y-Y และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 13 บาท ยังแนะนำ ซื้อ

(+) JWD คาดกำไรปกติ 3Q21 +13% Q-Q, +65% Y-Y ท่ามกลางการ Lockdown ทั้งในไทยและในหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งกระทบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และการขนส่งทางราง แต่ชดเชยได้จากความแข็งแกร่งของธุรกิจห้องเย็น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจ Barge ธุรกิจ Self storage และการรับรู้รายได้จาก VNS เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก แนวโน้ม 4Q21 ยังน่าจะเดินหน้าทําสถิติสูงสุดต่อ เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2021 โตก้าวกระโดด +73% Y-Y และเร่งตัวต่อตั้งแต่ปี 2022 จากการเก็บเกี่ยวธุรกิจที่ได้เข้าร่วมลงทุนหลายโครงการในปี 2021 คงราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 23 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) JR คาดกำไร 3Q21 ชะลอชั่วคราว -25% Q-Q จากการ Lockdown ทำให้งานเดินหน้าช้ากว่าแผน และกระทบการรับรู้รายได้ แต่ยังสามารถ +54% Y-Y จากปริมาณงานที่สูงกว่าปีก่อนมาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดทยอยฟื้นตัวใน 4Q21 และจะเร่งตัวอย่างมีนัยยะในปี 2022 เราปรับกำไรปกติปี 2021 ลงเหลือ +167% Y-Y แต่ปรับปี 2022 ขึ้นเป็น +54% Y-Y และคาดมีแรงหนุนจากโอกาสได้รับงานใหญ่เพิ่มเติมในปีหน้า ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 10 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” (Finansia เป็นปรึกษาทางการเงินและผู้จัดจําหน่ายฯ )

(0) DCC คาดกําไร 3Q21 -21% Q-Q, -13% Y-Y จากผลกระทบ COVID, ฤดูฝน, น้ำท่วมในเดือนก. ย. ขณะที่ Margin คาดปรับลงโดยมีการปรับราคาขายขึ้น และ Product Mix บรรเทาราคาก๊าซและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น แนวโน้ม 4Q21 ฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย แต่ต้องติดตามภาวะน้ำท่วมที่ยืดเยื้อ ยังคงราคาเป้าหมายที่ 3.30 บาท แนะนำ “ถือ” รับปันผล Yield 6% ต่อปี

(+) ตลาดดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 64.13 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 35,741.15 จุด หนุนจากการปรับขึ้นของหุ้น Tesla หลัง Hertz ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถยนต์เช่ารายใหญ่ของโลกสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาจํานวนกว่า 100,000 คันรวมถึงหนุนด้วย WTI ที่เร่งตัวขึ้น ขณะที่นักการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันลงทุนติดตามรายงานผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์นี้

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อยจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ถูกกดดันจากการปรับลงของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น

(+) ตลาดเอเชียปรับขึ้นตามทิศทางตลาดดาวโจนส์

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(0) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ทรงตัวที่ 83.76 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยระหว่างวันมีการปรับขึ้นระดับ 85 ดอลลาร์ และแตะที่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี หนุนจากภาวะตึงตัวในตลาดนํ้ามันท่ามกลางความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากการแพร่ระบาด COVID-19

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 10.5 ดอลลาร์หรือ 0.58% ปิดที่ระดับ 1,806.8 ดอลลาร์/ออนซ์ จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงการปรับลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

SPDR Gold Trust ถือครองทองคํา 978.07 / +-

- Advertisement -