ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index แกว่งตัว Sideways ออกด้านข้างต่อเนื่อง โดยปิดบวกได้เพียงเล็กน้อย 1.77 จุด ขณะที่การเคลื่อนไหวและหุ้นค่อนข้างกระจัดกระจาย สถาบันในประเทศยังขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 2.3 พันลบ. ขณะที่นักลงุทนต่างชาติซื้อสุทธิ 357 ลบ. (และพลิกมา Long Index Futures กว่า 1.6 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้:

เราคาด SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,630-1,640 จุด โดยรวมตลาดยังคงขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนในระยะนี้ โฟกัสยังคงอยู่ที่การประกาศผลประกอบการ 3Q21 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งโดยรวมของไทยไม่สดใสจากการ Lockdown แต่หากออกมาดีกว่าตลาดคาด จะเป็น Sentiment บวกและหนุนด้วยการทยอยฟื้นตัวใน 4Q21 เป็นต้นไป ส่วนปัจจัยต่างประเทศหลักๆ อยู่ที่การประชุม FED ในสัปดาห์หน้า ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเริ่มลด QE เพื่อคุมปริมาณเงินไม่ให้เงินเฟ้อเร่งตัวแรงเกินไป กลยุทธ์ยังเน้นถือลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงเงินเฟ้อ และกลุ่ม Reopening Play โดยเฉพาะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำ และ Laggard SET Index เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมี COVID-19 ได้แก่ กลุ่มธนาคารพลังงาน / โรงกลั่นอสังหาฯ ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว รับเหมา

กลยุทธ์: เก็งกำไรหุ้นที่คาดงบ 3Q21 แข็งแรง // ยังลงทุนในหุ้น Value และ Reopening Play

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : CFRESH, CK, KBANK, KCE, ORI

หุ้นเด่นวันนี้: SPRC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 13.50 บาท
  • คาดกําไรผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q21 -11% Q-Q, +158% Y-Y ก่อนฟื้นตัวอย่างโดดเด่นใน 4Q21 จากค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นทั้ง Q-Q และ Y-Y อย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะน้ำมัน Jet และเบนซิน ตามเศรษฐกิจและการ Reopening
  • แนวโน้มค่าการกลั่นคาดยังคงอยู่ในระดับสูงเหนือ US$ 4 ต่อบาร์เรลต่อเนื่องในปี 2022 โดยเราคาดกําไรปี 2021-2022 อยู่ในระดับสูงระดับ 5.7-5.8 พันลบ. ต่อปี
  • แนวรับ 10.70-10.80 บาท แนวต้าน 11.30-11.50 บาท

Fund Flow:

วานนี้กระแสเงินยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องอีก US$ 550 ล้าน โดยไหลเข้าไต้หวันและเกาหลีใต้หนาแน่นขึ้น US$ 281 ล้าน และ US$ 212 ล้าน ตามลำดับ จากแรงซื้อกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนตลาดอาเซียนโดยรวมยังไหลเข้าและสูงสุดที่อินโดนีเซีย US$ 55 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้า โดยระยะนี้ตลาดโฟกัสที่ผลประกอบการ 3Q21 รวมถึงการประชุม FED สัปดาห์หน้า

ประเด็นสําคัญวันนี้

(-) DELTA กำไรสุทธิ 3Q21 -28% QQ, -55% Y-Y แย่สุดในรอบ 6 ไตรมาส เพราะมีผลขาดทุนจากน้ำท่วม ส่วนการดำเนินงานหลักถูกกดดันจาก Margin ที่หดตัวจากน้ำท่วม ซึ่งทำให้เกิด Raw Material Shortage ส่งผลให้ประมาณการกำไรปีนี้ที่คาด +10% มี Downside และพลิกมาหดตัวราคาหุ้นยังเต็มมูลค่าเทียบกับราคาเป้าหมาย 330 บาท ยังแนะนำ “ขาย”

(+) SCGP กำไรสุทธิ 3Q21 -21% Q-Q, +33% Y-Y อ่อนตัวลงจากต้นทุนขนส่งและวัตถุดิบที่สูง แต่ถือว่าดีกว่าคาด 8% อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดจะฟื้นตัวแข็งแรงใน 4Q21-2022 จากทั้งผลของการ M&P ในช่วงที่ผ่านมา การควบคุมต้นทุนที่เข้มข้นมากขึ้น และ Demand ที่ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจคาดกำไรปี 2021-2022 +52% Y-Y และ +29% Y-Y คงราคาเป้าหมาย 82 บาท แนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)

(+) HMPRO กําไร 3Q21 -38% Q-Q และ Y-Y จากผลกระทบจากการ Lockdown ทั้งไทยและมาเลเซียส่งผลให้ SSSG หดตัวแรง แต่คาดผ่านจุดต่ำสุดและฟื้นตัวอย่างแข็งแรงใน 4Q21 เป็นต้นไปหลังคลาย Lockdown และคาดกําไรจะทําจุดสูงสุดของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกําไรปี 2021-2022 ลงเป็น +2% Y-Y และ +22% Y-Y ปรับลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเหลือ 18.30 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)

(+) SPALI คาดกําไร 3Q21 -13% QQ, +23% Y-Y ชะลอตัวจากส่วนแบ่งกําไรของโครงการในออสเตรเลียที่ลดลง และการโอนที่ล่าช้าจาก COVID-19 อย่างไรก็ตาม คาดฟื้นตัวแข็งแกร่งใน 4Q21-2022 และมีแผนเปิดโครงการใหม่มูลค่า 3.2-3.3 หมื่นลบ. ในปีหน้า และมี Backlog ปัจจุบันถึง 2.3 หมื่นลบ. ยังคงราคาเป้าหมาย 28 บาท แนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)

(+) NRF คาดกําไรปกติ 3Q21 +136% Q-Q, -46% Y-Y แม้ธุรกิจกลุ่มซอสและเครื่องแกงจะทรงตัว แต่ได้ธุรกิจ E-Commerce ใหม่เข้ามาช่วยผ่านบริษัทร่วมทุน แนวโน้ม 4Q21 จะฟื้นตัวต่อมีโอกาสที่กำไรปี 2021 จะสูงกว่าคาดการณ์ปัจจุบันที่ -40% Y-Y ส่วนปี 2022 คาดฟื้นตัว +291% Y-Y ยังคงราคาเป้าหมาย 9 บาท แนะนํา “เก็งกำไร”

(+) NETBAY เราคาดกําไรปกติ 3Q21 -5% Q-Q, Flat Y-Y โดยเป็นผลจากการหมด BOI ปลาย 2Q21 ส่วนรายได้คาดยังเติบโตได้แข็งแรงตามเป้า 10-15% ต่อปี ขณะที่ Gross Margin คาดยังอยู่ในระดับสูงเกือบ 80% เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 32.50 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 15.73 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 35,756.88 จุด หลังเปิดเผยผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของบริษัทจดทะเบียน อาทิ GE, 3M, UPS รวมถึงหนุนด้วยผลสํารวจของ Conference Board ที่รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับขึ้นเป็น 113.8 ในเดือน ต.ค. จาก 109.8 ในเดือนก.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเป็น 108.3 จากแนวโน้มตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป

(-) ตลาดเอเชียปรับลงจากแรงขายทํากำไร

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 84.65 ดอลลาร์/บาร์เรลจากภาวะตลาดน้ำมันดึงตัว หลังความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจาก COVID-19, การใช้พลังงานของจีนจากสภาพอากาศหนาวเย็น, ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันดิบ และน้ำมันดีเซลเนื่องจากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น รวมถึงซาอุดีอาระเบียปฏิเสธข้อเรียกร้องจากสหรัฐที่ต้องการให้กลุ่มโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก ขณะที่ติดตาม EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 100,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา

(-) ราคาทองคํา COMEX ลดลง 13.4 ดอลลาร์หรือ 0.74% ปิดที่ 1,793.4 ดอลลาร์/ออนซ์ จากแรงขายทำกำไรหลังราคาปรับขึ้นในช่วงก่อนหน้ารวมถึงการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์

SPDR Gold Trust ถือครองทองคํา 979.81 / +1.74

- Advertisement -