บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

NOBLE DEVELOPMENT ระยะสั้นยังไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น

Action

Trading (Maintain)

TP upside (downside) 12.3%

Close Oct 28, 2021 Price (THB) 6.50

12M Target (THB) 7.30

Previous Target (THB) 7.30

What’s new?

  • คาดผลประกอบการปกติ 3Q64 พลิกเป็นขาดทุน 30 ลบ. แต่ได้แรงหนุนจากการปรับมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์เพื่อการพาณิชย์จำนวน 179 ลบ. เป็นผลให้เราคาดกำไรสุทธิที่ระดับ 149 ลบ. (-50.7% QoQ, -71.6% YoY)
  • คาดยอดเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2564 ที่ 1.6 หมื่นลบ. ต่ำกว่าแผนของบริษัทที่ 2.8 หมื่นลบ.
  • คาดผลประกอบการจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้งในช่วง 2H65 จากการที่จะมีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่พร้อมโอนจำนวน 5 โครงการรวมมูลค่า 1.3 หมื่นลบ.

Our view

  • เราคาดบริษัทได้รับผลประโยชน์จากการปลดล็อกมาตรการ LTV ที่จำกัด จากการไม่มีโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จพร้อมโอนในช่วง 4Q64-2Q65 และการมีสินค้าพร้อมโอนที่เพียงราว 2.1 พันลบ.
  • คงคำแนะนำเป็น “TRADING” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 ที่ 7.30 บาท/หุ้น
  • เชิงกลยุทธ์ แนะนำชะลอการลงทุนไปหลังช่วงประกาศผลประกอบการ 3Q64 ที่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี และเริ่มเข้าสู่ช่วงของฤดูปันผล 2H64 คาดที่ 0.35 บาท/หุ้นคิดเป็น Dividend Yield ที่ 5.4%

คาดกำไรสุทธิ 3Q64 ได้แรงหนุนจากการปรับมูลค่าทางบัญชี … แต่ยังเป็นจุดต่ำสุดของปี

เราคาดบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิ 3Q64 ที่ 149 ลบ (-50.7% QoQ, -71.6% YoY) ยังอยู่ในระดับที่มีกำไรจากแรงหนุนของรายการพิเศษ คือการปรับมูลค่าสินทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของโครงการ Noble Remix คาดที่ 179 ลบ. แต่หากหักรายพิเศษดังกล่าว คาดผลประกอบการปกติขาดทุนที่ระดับ 30 ลบ. จาก 1) ไม่มีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่พร้อมโอน 2) ผลกระทบเชิงลบจากการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกที่ 3 และ 3) ปัจจุบันมีสินค้าคงคลังประเภท Ready-to-move ที่ระดับเพียงราว 2.1 พันลบ. +/-

เราคาด Presale 3Q64 ที่ 1.3 พันลบ. (-26.3% QoQ, -64.0% YoY) แบ่งเป็นโครงการแนวราบที่ 170 ลบ. (+100.4% QoQ, +86.8% YoY) เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY จากการเปิดเฟสใหม่ของโครงการ Noble Gable Watcharapol เพิ่มเติมในช่วง 1Q64 (มูลค่าโครงการปัจจุบัน 1.8 พันลบ.) และอุปสงค์ในสินค้าแนวราบที่ยังแข็งแกร่งจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่วน Presale แนวสูง 3Q64 คาดที่ 1.1 พันลบ. (-33.0% QoQ, -68.1% YoY) จากการไม่มีโครงการเปิดตัวใหม่ และอุปสงค์คอนโดมิเนียมที่ยังอ่อนแอจากผลกระทบของ COVID-19

เลื่อนแผนการเปิดตัวโครงการไปยังปี 2565 … Presale คาดฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

มาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง 30 วันในช่วงต้น 3Q64 แม้คาดไม่ส่งผลลบต่อผลประกอบการของบริษัท  เนื่องจากไม่มีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่พร้อมโอน และรายได้หลักมาจากการโอน Backlog และการระบาย Inventory ของโครงการปัจจุบัน แต่เป็นผลให้บริษัทเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 2Q64 จำนวน 1 โครงการไปยังช่วง 4Q64 คือ Nue Townhouse @ Don Muang (มูลค่า 700 ลบ.) ขณะที่โครงการที่เลื่อนการเปิดตัวไปยังปี 2565 คาดมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ Nue Condo @ Don Muang (มูลค่า 2.4 พันลบ.) และ The Embassy at Wireless (มูลค่า 1,0 หมื่นลบ.) ส่งผลให้เราคาดยอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2564 อยู่ที่ 1.6 หมื่นลบ. ต่ำกว่าแผนของบริษัท ที่ 2.8 หมื่นลบ.

ทั้งนี้ บริษัทไม่มีโครงการเปิดตัวใหม่ในช่วง 3Q64 เป็นผลให้ Presale ที่ระดับ 1.3 พันลบ. คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี และจะทยอยฟื้นตัวขึ้นตามการเปิดตัวโครงการใหม่ ใน 4Q64 คาดบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ Nue Townhouse @ Don Muang (700 a.), Nue Evo Ari (3.0 Wuau.) a Nue Rama 9 (5.9 wun.)

คาดผลประกอบการจะกลับมาคึกคักอีกรอบใน 2H65 หนุนด้วยการปลดล็อกมาตรการ LTV

แนวโน้มผลประกอบการปกติ 4Q64 คาดกลับพลิกกลับมาเป็นกำไรที่ราว 250-300 ลบ. จากแผนการโอน Backlog จำนวน 2.5 พันลบ. หนุนด้วยการคลายมาตรการล็อกดาวน์ คาดส่งผลให้กิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี เราคาดผลประกอบการในช่วง 1H65 จะยังไม่โดดเด่น (คาดเบื้องต้นผลประกอบการ 1H65 ลดลงราว 20-30% YoY เมื่อเทียบกับช่วง 1H64 ที่มีกำไรสุทธิ 786 ลบ.) แม้ล่าสุด ธปท. ประกาศปลดล็อกมาตรการ LTV เป็น 100% สำหรับอสังหาริมทรัพย์หลังที่ 2 ขึ้นไป (การผ่อนคลายมาตรการจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 2565) แต่เราคาด บริษัทได้รับผลบวกที่จำกัด จาก 1) คาดไม่มีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่ในช่วง 4Q64-2Q65 และ 2) สินค้าพร้อมโอนที่ปัจจุบันมีเพียง 2.1 พันลบ.

เราคาดผลประกอบการจะกลับมาโดดเด่นในช่วง 2H65 ซึ่งมีโครงการแนวสูงที่คาดจะแล้วเสร็จพร้อมโอนจำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่า 1.3 หมื่นลบ. คาดมี Backlog ที่จะรับรู้เป็นรายได้ใน 2H65 รวมอยู่ราว 5.0 พันลบ. ทั้งนี้สินค้าเหลือขายโครงการดังกล่าว คาดได้แรงหนุนจากการปลดล็อกมาตรการ LTV ในการระบายสินค้าหลังสร้างเสร็จ

คงคำแนะนำ “TRADING” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 7.30 บาท/หุ้น

เราคงประมาณการกำไรปกติปี 2564/65 ที่ 1.4 พันลบ. และ 1.7 พันลบ. ตามลำดับ และคงคำแนะนำ “TRADING” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 7.30 บาท/หุ้น (อิง PER2565 ที่ 7.0x เทียบเท่า +1.0SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท และอิง Dilution จาก NOBLE-W2 ในปี 2564/65 ที่ 50% และ 25% ตามลำดับ) จาก Upside risk ที่จำกัด จากการปลดล็อกมาตรการ LTV และแนวโน้มผลประกอบการระยะสั้นที่ยังไม่สดใส เชิงกลยุทธ์จึงแนะนำชะลอการลงทุนไปหลังช่วงประกาศผลประกอบการ 3Q64 ที่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี และเริ่มเข้าสู่ช่วงของฤดูปันผล 2H64 คาดที่ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 5.4%

- Advertisement -