SMART เผยผลประกอบการ 9 เดือน กวาดรายได้รวม 338.47 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิแตะระดับ 30.45 ล้านบาท โต 1.50% ได้ปัจจัยสนับสนุนหลังคลายมาตรการล็อกดาวน์ ภาคเอกชนทยอยลงทุน ภาครัฐเร่งก่อสร้าง ส่งมอบงานตามแผน รองรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจ มองทิศทางโค้งสุดท้ายของปียังโตต่อเนื่อง รับมาตรการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย LTV รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว หนุนความต้องการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบา อิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่ม พร้อมเร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทั้งเตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 50% รองรับปริมาณคำสั่งซื้อและการเติบโตในอนาคต มั่นใจดันรายได้โตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 5%

 

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 9 เดือน มีรายได้รวม 338.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.04 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม  310.43 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.50%

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/64 มีรายได้รวม 103.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 97.87 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.82 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  9.04  ล้านบาท ลดลง 2.22 ล้านบาท หรือลดลง 24.55%

สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการขายอิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ กำไรงวดไตรมาส 3/64 ปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบเล็กน้อยในระยะสั้น จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อคดาวน์ ปิดแคมป์ก่อสร้าง ส่งผลให้ต้นทุนพลังงาน และราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากงานโครงการภาคเอกชน อาทิ โครงการที่พักอาศัย แนวราบ แนวสูง โรงแรม ร้านอาหาร ที่เร่งปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และงานโครงการภาครัฐ อาทิ อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล โครงการรถไฟฟ้า กลับมาดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้ทันตามกำหนดระยะเวลาส่งมอบตามแผนงาน

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/64 คาดว่าจะเห็นการเติบโตต่อเนื่อง ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐประกาศมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV  ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ภาครัฐที่ชะลอตัวกลับมาเร่งทำการก่อสร้าง อีกทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจดำเนินการก่อสร้างและซ่อมบำรุง ที่พักอาศัย อาคาร โรงแรม ร้านอาหาร ผลักดันให้ความต้องการใช้งานวัสดุก่อสร้างอิฐมวลเบา อิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่มขึ้น

“บริษัทยังคงเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียประเภทการตกแต่งและนวัตกรรมชั้นนำ อีกทั้งผลักดันสินค้าอิฐมวลเบาขนาดจัมโบ้เพื่องานโครงสร้าง ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ลดต้นทุน ทำให้งานก่อสร้างเสร็จรวดเร็ว และสินค้าอิฐมวลเบาเพื่องานตกแต่งภายใน ภายนอก โดยมีกระแสตอบรับที่ดี ทั้งนี้ บริษัทเตรียมขยายกำลังการผลิตอิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่ม 50% เพื่อรองรับปริมาณคำสั่งซื้อและการเติบโตในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องจักรและพร้อมเดินเครื่องผลิตได้เต็มกำลังในช่วงไตรมา ส4/64 ผลักดันรายได้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 5%” นายรังสี กล่าว

***********************************

- Advertisement -