ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index แกว่งตัว Sideways และยังคงปิดทรงตัว อย่างไรก็ตาม มี Sector Rotation ออกจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และโรงไฟฟ้า และไหลเข้ากลุ่มพลังงานและหุ้นเปิดเมืองชัดเจน สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 191 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหนาแน่น 2.8 พันลบ. (แต่ Short Index Futures อีก 8.5 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้:

เราคาด SET Index จะยังแกว่งแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,620 1,630 จุด โดยบรรยากาศการลงทุนโดยภาพรวมยังคงผ่อนคลาย หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯยังไต่ระดับขึ้นต่อเนื่อง Bond Yield ยังทรงตัวหลังปรับลงในช่วงก่อนหน้า ทำให้เม็ดเงินยังคงไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม Upside ของ SET Index ระยะสั้นยังจำกัด เนื่องจากตลาดรอดูว่านักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดีเพียงใดหลังเปิดประเทศ รวมถึงสถานการณ์ COVID-19 เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามามาก ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมกนง. ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเชื่อว่ายังคงนโยบายการเงิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค. ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเร่งตัวขึ้น +0.6% M-M และ +5.8% Y-Y และอาจทำให้ตลาดผันผวนอีกครั้งระยะสั้น ยังเน้นเลือกเก็งกําไรหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และแนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง ส่วนจังหวะดัชนีลงทดสอบ 1,600 +- จุด มองเป็นโอกาสทยอยสะสมเพิ่มสำหรับกลุ่ม Value และ Reopening Play โดยเฉพาะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำ และ Laggard SET Index เมื่อเทียบกับช่วงก่อนมี COVID-19 ได้แก่ กลุ่มธนาคาร โรงกลั่น อสังหาฯ ค้าปลีก อาหาร ท่องเที่ยว รับเหมาฯ

กลยุทธ์: เก็งกำไรหุ้นที่คาดงบ 3Q21 แข็งแรงและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว // ยังลงทุนในหุ้น Value และ Reopening Play

หุ้นเด่นเดือน พ.ย.: CHG, FSMART, GPSC, JWD, KCE

หุ้นเด่นวันนี้: JWD

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
  • คาดกําไรปกติ 3Q21 +13% Q-Q, +65% Y-Y ท่ามกลางการ Lockdown ทั้งในไทยและในหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งกระทบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และการขนส่งทางราง แต่ชดเชยได้จากความแข็งแกร่งของธุรกิจห้องเย็น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจ Barge ธุรกิจ Self storage และการรับรู้รายได้จาก VNS เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก
  • แนวโน้ม 4Q21 ยังน่าจะเดินหน้าทำสถิติสูงสุดต่อ เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2021 โตก้าวกระโดด +73% Y-Y และเร่งตัวต่อตั้งแต่ปี 2022 จากการเก็บเกี่ยวธุรกิจที่ได้เข้าร่วมลงทุนหลายโครงการในปี 2021
  • แนวรับ 14.80-15 // 14.50 บาท แนวต้าน 15.40-15.60 บาท

Fund Flow:

วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคอีก US$ 402 ล้านนำโดยไต้หวัน US$ 331 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลเข้าทุกประเทศ นำโดยไทย US$ 83 ล้าน มีเพียงเกาหลีใต้ที่เม็ดเงินไหลออก US$ 86 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าจาก Bond Yield และ Dollar Index ที่ทรงตัว หลังปรับลงในช่วงก่อนหน้า

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) AOT ผู้บริหารมองว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมี 3 Check Point ที่สำคัญคือ 1) Supply Constrain ของสายการบินในช่วงแรกที่กลับมาเริ่มบิน 2) Demand นักท่องเที่ยวซึ่งต้องดูเดือน ธ.ค. เป็นต้นไป และการคุมแพร่ระบาด 3) Supply Chain ของทั้งภาคการท่องเที่ยวโดยยังมองปี 2022 ยังเป็นปีที่เหนื่อย และคาดว่ายังทั้งอุตสาหกรรมจะยังไม่สามารถกลับมามีกำไรได้ และคาดว่า AOT อาจจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือ Stakeholder เพิ่มเติม โดยคาดผู้โดยสารต้องกลับมาอย่างน้อย 50% เทียบกับก่อน COVID-19 จึงจะเริ่มมีกำไร ซึ่งคาดว่ายังไม่สามารถทำได้ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงราคาเป้าหมายที่ 80 บาท แนะนำ “ซื้อลงทุน”

(0) TU กำไรปกติ 3Q21 -34% Q-Q, -29% Y-Y ต่ำกว่าคาด 10% โดยเกิดจากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาดจากต้นทุนค่าระวางเรือแนวโน้มกำไร 4Q21 น่าจะอ่อนตัวลง Q-Q เพราะเป็น Low Season ของธุรกิจ แต่จะกลับมาดีขึ้นอีกครั้งใน 1Q22 ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2021-2022 +19% Y-Y และ +3% Y-Y ตามลำดับ ยังคงราคาเป้าหมายที่ 30 บาท แนะนำ “ซื้อลงทุน”

(+) SRICHA คาดกําไร 3Q21 -33% Q-Q แต่ +20% Y-Y แข็งแรงกว่ากลุ่มตามปริมาณงานที่มากขึ้น ขณะที่แนวโน้ม 4Q21-1021 คาดชะลอหลังส่งมอบงานหลักไปค่อนข้างมากแล้ว ขณะที่งานใหม่ยังรับรู้เข้ามาไม่มาก แต่จะกลับมาโตเด่นตั้งแต่ 2022 เป็นต้นไป เรายังคาดกำไรปี 2021-2022 +188% Y-Y และ +6% Y-Y ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 23 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) PIN เข้าเทรดวันนี้เป็นผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่มีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งในเขต EEC ปี 2020-2021 ถูกกระทบจาก Lockdown แต่คาดกำไรกำลังเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตอีกครั้งหลังเปิดเมือง และการเปิดให้บริการ PIN6 เราคาดกำไรปี 2022 +49% Y-Y ประเมินราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 5.15 บาท (Finansia เป็นผู้จัดจำหน่ายๆ)

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 104.27 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 36,432.22 จุด จากข่าวสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์วันศุกร์ที่ผ่านมา หนุนการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุ

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกหนุนจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาน้ำมันและราคาโลหะพื้นฐานปรับขึ้นหลังจากสหรัฐอนุมัติกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน

(+) ตลาดเอเชีย ปรับขึ้นตามทิศทางตลาดดาวโจนส์ รวมถึงการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากบริษัทญี่ปุ่น

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.81 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 66 เซนต์หรือ 0.8% ปิดที่ 81.93 ดอลลาร์/บาร์เรล จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐหนุนความต้องการใช้น้ำมัน

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 11.2 ดอลลาร์หรือ 0.62% ปิดที่ 1,828 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และธนาคารกลางหลายแห่งส่งสัญญาณว่าจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 975.41 / +-

- Advertisement -