ASW สุดปลึ้มหลังโครงการ “เคฟ ทียู” มูลค่า 1,800 ล้านบาท กระแสตอบรับดีเกินคาด ยอดโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ทะลุเป้า ส่งสัญญาณผลงานไตรมาส 3/64 ไปได้สวย ระบุนับเป็นโครงการที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มนักศึกษาและผู้ปกครอง ทำให้ผลตอบรับดีเกินคาด ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน เผยปัจจุบันมียอดขายรอโอนสะสมไว้แล้วกว่า 7,600 ล้านบาท มั่นใจหนุนผลงานปีนี้โตเข้าเป้าที่ระดับ 20% จากปีก่อนที่ 4,205 ล้านบาท

 

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่บริษัทยังคงสามารถสร้างยอดขายใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง จากการนำกลยุทธ์การขายแบบออนไลน์ รวมถึงการออกแคมเปญที่สร้างแรงจูงใจเพิ่มขึ้น ล่าสุดโครงการ “เคฟ ทียู” (Kave TU) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดจองในช่วงที่ผ่าน ผลปรากฏว่า กระแสตอบรับดีมาก สามารถทำยอดขายได้เกินกว่า 90% ส่งผลให้บริษัทสามารถโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ปลายเดือนกันยายน 2564ได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และสนับสนุนผลงานในไตรมาส 3 และ 4/64 เติบโตต่อเนื่อง

สำหรับโครงการเคฟ ทียู เป็นโครงการคอนโดมีเนียม Low Rise จำนวน 8 ชั้น 4 อาคาร แต่งครบ จำนวน 1,016 ยูนิต ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน มีพื้นที่ส่วนกลาง และ Facilities ที่จัดหนักจัดเต็มกว่า 5,800 ตารางเมตร ห้องทำกิจกรรมทุกรูปแบบ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ ยังมีการเดินทางที่สะดวกสบาย และเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทาง ทั้งรถ และรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (สถานีธรรมศาสตร์รังสิต )

“โครงการเคฟ ทียู มียอดขายที่ดีมาก บริษัทสามารถโอนกรรมสิทธิเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และทำธุรกรรมการโอนกรรมสิทธิได้อย่างรวดเร็ว แม้จะยังไม่มีการเปิดภาคเรียนแบบปกติ แต่ด้วยความพิเศษของโครงการที่โดนใจกลุ่มนักศึกษาและผู้ปกครอง รวมทั้งระบบรักษาความปลอดภัยจัดเต็ม สร้างความเชื่อมั่นให้กับบรรดาผู้ปกครองที่ต้องการหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยให้กับบุตรในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย ดังนั้น เคฟ ทียู จึงเป็นโครงการที่มีคุณภาพ สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ (New Normal ) และตอกย้ำความเป็นผู้นำของ ASWในการพัฒนาคอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนักศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักได้เป็นอย่างดี” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเน้นนโยบายการสร้างยอดขายและการรับรู้รายได้ต่อเนื่องในทุกรูปแบบ โดยในไตรมาส 4/64 โครงการ “โมดิซ สุขุมวิท 50” มูลค่า 2,100 ล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 7,600 ล้านบาท ดังนั้น จึงทำให้มั่นใจว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 4,205 ล้านบาท

***************************************

- Advertisement -