DOD ส่งข่าวดีท้ายปี คว้าลูกค้าธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทยเข้าพอร์ต จ่อทยอยส่งมอบออเดอร์ ผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 5 ผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ พร้อมส่งซิกเตรียมเสิร์ฟ ออเดอร์ ผลิตภัณฑ์ Soft Gel จากสารสกัด Hemp Seed Oil ให้ลูกค้ารายแรก พร้อมอัปเดตต้นปีหน้าลุยส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชงให้กับกลุ่มพันธมิตร ไม่ต่ำกว่า 10 ราย อย่างต่อเนื่อง เผยเตรียมนับถอยหลังรับใบอนุญาตตั้งโรงสกัดสาร CBD ภายในธันวาคมนี้ ระบุหลังได้ไฟเขียว พร้อมเดินหน้าดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ทันที 

 

นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยว่า ภาพรวมช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชงและพืชกระท่อม ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม และรักษาความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มบริษัท

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้รับออเดอร์ใหม่จากบริษัทธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทยเข้ามา โดยมียอดออเดอร์คำสั่งการผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ และคาดว่าจะสามารถเริ่มทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ลูกค้าได้ภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน โดยมองว่าการที่บริษัทได้ออเดอร์ใหญ่จากลูกค้า ซึ่งเป็นค้าปลีกยักษ์ใหญ่ เป็นการการันตีให้เห็นถึงศักยภาพของ DOD ที่มีจุดแข็งและความพร้อมด้านโรงสกัดวัตถุดิบ พร้อมด้วยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ที่ค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมและพัฒนาสารสกัดพืชสมุนไพรในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของลูกค้า  ซึ่งเชื่อว่า การได้รับออเดอร์จากลูกค้ารายดังกล่าวเข้ามาจะช่วยหนุนการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้อย่างมีนัยสำคัญ

“บริษัทเตรียมส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในรูปแบบแคปซูลนิ่ม (Soft Gel) ที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil) และโปรตีนจากเมล็ดกัญชงที่มีสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ต่ำกว่า 0.2% ให้กับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รายแรกภายในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้”

ส่วนผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชงของกลุ่มพันธมิตร อาทิ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN), บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS), บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY), บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO), บมจ.เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท (FN) และกลุ่มผู้ประกอบการทั่วไปนั้น ปัจจุบันได้มีการวิจัยและพัฒนาสูตรสำเสร็จในระดับหนึ่งแล้ว และอยู่ระหว่างการยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากกัญชงต่อคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยคาดว่าจะสามารถทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวได้ภายในช่วงต้นปี 2565 ตามแผนที่วางไว้

สำหรับบริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ DOD จะเป็นบริษัทที่เข้ามาเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการในส่วนของโรงสกัดกัญชงและพืชกระท่อม ซึ่งขณะนี้โรงสกัดสาร CBD ได้ผ่านการเห็นชอบจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ซึ่งคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานสกัดสาร CBD เพื่อเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชงได้ภายในเดือนธันวาคมนี้อย่างแน่นอน ซึ่งหากได้รับใบอนุมัติ บริษัทก็สามารถดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ทันที

ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD กล่าวว่า จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบาง ทำให้บริษัทได้ประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจระยะสั้นและระยะยาว จึงได้มีการปรับโครงสร้างของบริษัท ด้วยการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจเครื่องสำอางและธุรกิจเครือข่าย เพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนเพิ่มเติม อีกทั้งรักษาความคล่องของกลุ่มบริษัทเพื่อรองรับกับการเติบโตในอนาคต

อย่างไรกตาม แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกระทบให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง แต่หากพิจารณาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (Core Business) ในรอบ 9 เดือน บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 696.32 ล้านบาท เป็น 787.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 13.12 และมีกำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้นจาก 205.82 ล้านบาท เป็น 266.45  ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 29.46 ขณะเดียวกัน บริษัทมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 19.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลงร้อยละ 88.86 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการขาดทุนจำนวน 212.85 ล้านบาท จากการหยุดการดำเนินงานของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง

ขณะที่ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 3/64 มีรายได้จากการขาย 184.25 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 36.53 เพราะได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40.23 เป็น 42.15 เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และมีกำไรจากการดำเนินงาน  41.32 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 52.52  และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 22  ล้านบาท คิดเป็นอัตราการลดลงร้อยละ 68.33 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

*********************************************

- Advertisement -