บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

PRUKSA HOLDING คาด 4Q64 เป็นจุดสูงสุดของปี

Action

Trading (Maintain)

TP upside (downside) -5.2%

Close Nov 23, 2021 Price (THB) 13.50

12M Target (THB) 12.80

Previous Target (THB) 12.10

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 3Q64 เป็นจุดต่ำสุดของปีและจะฟื้นตัวขึ้นเด่น QoQ และ YoY เป็นระดับ 1.1-1.2 พันลบ. ในช่วง 4Q64
  • บริษัทปรับลดเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2564 ลง 19% เป็น 2.2 หมื่นลบ. จากผลกระทบของมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้างในช่วง 3Q64
  • ปรับลดประมาณการกำไรปี 2564 ลง 16% เป็น 2.5 พันลบ. จากกำไร 9M64 ที่คิดเป็นเพียง 46% จากประมาณการกำไรเดิมที่ 2.9 พันลบ.

Our View

  • แม้เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการช่วง 4Q64 ที่คาดฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญทั้ง QoQ และ YoY แต่คาดราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว
  • ปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 ที่ 12.80 บาท/หุ้น (อิง PER2565 เท่าเดิมที่ 8.4x)
  • คงคำแนะนำ “Trading” จากแนวโน้มผลประกอบการปี 2564/65 ที่ยังไม่โดดเด่น เชิญกลยุทธ์แนะนำชะลอการลงทุนจนกว่าจะมีปัจจัยบวกใหม่

ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 3Q64 และคาดฟื้นตัวเด่น QoQ และ YoY ในช่วง 4Q64

บริษัทรายงานกำไรปกติ 3Q64 ท่ี 331 ลบ.(-22.7%QoQ, -45.2%YoY) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้ง QoQ และ YoY และคาดเป็นจุดต่ำสุดของปีจาก 1) มีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธ์ิเพียง 1 โครงการ คือ The Privacy Sukhumvit 101 (มูลค่า 1.2 พันลบ.ณ สิ้น 2Q64 มียอดขายแล้ว 57%) 2) ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกท่ี 3 และมาตรการปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 30 วันในช่วงเดือน ก.ค. 2564 และ 3) อัตรากำไรขั้นต้นท่ีลดลงกว่า 328 bps YoY หลังเปิดให้บริการ รพ. วิมุต ในช่วงต้นเดือน พ.ค. 2564 ที่ปัจจุบันยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน อย่างไรก็ดี เราคาดผลประกอบการในช่วง 4Q64 จะฟื้นตัวเด่นทั้ง QoQ และ YoY และจะเป็นจุดสูงสุดของปีท่ีระดับ 1.1-1.2 พันลบ. +/- จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น เป็นผลให้รัฐผ่อนคลายมาตรการ Lockdown หนุนกิจกรรมการเดินทาง สอดคล้องกับยอดเยี่ยมชมโครงการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง MoM ในเดือน ต.ค.-พ.ย. 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังมี Backlog รอโอนกรรมสิทธ์ิในช่วง 4Q64 ท่ีสูงถึง 1.0 หมื่นลบ. แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3.3 พันลบ.และโครงการแนวสูง 7.0 พันลบ.(หลักๆมาจากโครงการท่ีคาดจะแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธ์ิในช่วง 4Q64 จำนวน 2 โครงการคือ The Privacy Taopoon Interchange Phase 1 มูลค่า 1.8 พันลบ. และ The Tree Pattanakarn-Ekamai มูลค่า 2.3 พันลบ. ณ สิ้น 3Q64 มียอดขายแล้ว 42% และ 49% ตามลำดับ)

บริษัทปรับลดเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2564 ลง 19% จากผลกระทบของมาตรการปิดแคมป์

บริษัทปรับลดเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2564 19% จากเดิมท่ี 2.7 หมื่นลบ. เป็น 2.2 หมื่นลบ. ในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม โดยสาเหตุหลักมาจากมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในช่วง 3Q64 ในช่วง 9M64 ท่ีผ่านมา บริษัทมียอดเปิดตัวโครงการใหม่สะสมท่ี 1.3 หมื่นลบ.(สัดส่วนแนวราบท่ี 87%) และมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 4Q64 จำนวน 9 โครงการแบ่งเป็นโครงการแนวราบและแนวสูงท่ี 7.6 พันลบ. และ 910 ลบ.ตามลำดับ ทั้งนี้เราคาดการปรับลดเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ เป็นผลให้บริษัทมีแนวโน้มพลาดเป้าหมาย Presale และรายได้ที่ตั้งไว้ ณ ต้นปี ที่ระดับเท่ากันที่ 3.2 หมื่นลบ. (Presale และรายได้ 9M64 อยู่ที่ 2.0 หมื่นลบ. และ 1.9 หมื่นลบ. คิดเป็น 62.7% และ 60.3% เมื่อเทียบกับเป้าหมายท่ี 3.2 หมื่นลบ.)

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2564 16% เป็น 2.5 พันลบ.

กำไรปกติในช่วง 9M64 ที่คิดเป็นเพียง 46.4% จากประมาณการกำไรเดิมของเราท่ี 2.9 พันลบ.เป็นผลให้เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2564 ลง 16% เป็น 2.5 พันลบ. บนสมมติฐานดังนี้ 1) ปรับลดยอดโอนกรรมสิทธ์ิ 5.3% เป็น 2.9 หมื่นลบ. จากผลกระทบเชิงลบของการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกท่ี 3 ต่ออัตราดูดซับอุปทาน และการปรับลดเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ 2) ปรับลดสมมติฐานรายได้อื่นลง 41.0% เป็น 158 ลบ. (หลักๆ มาจากการยึดเงินจอง) จากการเลื่อนการโอนกรรมสิทธ์ิโครงการบางส่วนไปยังปี 2565 และ 3) การปรับสมมติฐานอัตรากำไรท่ีอนุรักษ์นิยมมากขึ้น จากค่าใช้จ่ายของธุรกิจโรงพยาบาลและการใช้โปรโมชั้นทางด้านราคาเพื่อส่งเสริมการระบาย Inventory

คงคำแนะนำ “TRADING” ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ท่ี 12.80 บาท/หุ้น

เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 ท่ี 12.80 บาท/หุ้น (อิง PER2565 เท่าเดิมท่ี 8.4x เทียบเท่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของบริษัท) และคงคำแนะนำ “TRADING” จากแนวโน้มผลประกอบการปี 2564/65 ที่ยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อ -ขายบน PER2565 ท่ีระดับ 8.8x (สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มท่ี 8.0x) คาดสะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว เชิงกลยุทธ์จึงยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุนจนกว่าจะมีปัจจัยบวกใหม่

ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ 1) ปัจจัยระดับมหภาคและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ 2) การโอนโครงการท่ีล่าช้า และ Rejection rate ที่สูงกว่าคาดการณ์ และ 3) การแข่งขันของตลาดแนวราบในปี 2564/65 ที่รุนแรงกว่าคาดการณ์

- Advertisement -