บล.ทิสโก้:

บมจ. พริมา มารีน เร่ิมเก็บเกี่ยวผลจากการปรับธุรกิจ

เห็นผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจปี 2022F จะกลับมาเติบโตได้สูง

เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมใหม่ 8.85 บาท จาก 1) ผ่านช่วงที่แย่ที่สุดของปีใน 1H21 ไปแล้ว และเห็นการฟื้นตัวตัวตั้งแต่ 3Q21 และเราคาดกำไรจากการดำเนินงานหลัก PRM ใน 2 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย (CAGR 2 ปี (2021-23F) ที่ 22% ต่อปี จากผลการควบรวม Truth Maritime: TM และรูปแบบธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับสถานการณ์ขึ้น 2) ธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ VLCC เป็นธุรกิจหลักที่จะผลักดันการเติบโต ซึ่งคาดรายได้จะโตเกือบเท่าตัว ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ฟื้นตัวเช่นกัน 3) มูลค่าหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับต่ำ PRM ซื้อขายอยู่ที่ 10.4 เท่าปี 2022F ซึ่งคิดเป็น -1SD ของค่าเฉลี่ยซื้อขายในอดีตของบริษัทที่ 18 เท่า

ผลจากการเข้าซื้อ TM และปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้ชดเชย FSU ที่หดตัวได้

เรามองว่า PRM ผ่านช่วงที่ยุ่งยากไปแล้ว และเริ่มเก็บเกี่ยวผลจากการปรับโครงสร้างและการเข้าซื้อกิจการ TM โดยเริ่มเห็นผลที่ชัดเจนใน 3Q21 ที่เข้ามาหักล้างผลจากรายได้ที่หดตัวในธุรกิจ FSU โดยแต่ละธุรกิจจะเติบโต 1) ธุรกิจขนส่งในประเทศผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และเน้นขนส่งปิโตรเคมีมากขึ้น ปัจจุบันมีเรือ 34 ลำ (ขนส่งปิโตรเคมี 5 ลำ) บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มเรือขนส่งปิโตรเคมี 3-4 ด้วยงบ 800 ล้านบาทในปี 2022F จากเห็นโอกาสในตลาด เนื่องจากยังไม่มีผู้ครองตลาดนี้ และมีดีมานด์การขนส่งปิโตรเคมีมากยิ่งขึ้นตามแผนขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่น 2) ธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ: ปัจจุบันมี VLCC 1 ลำ เริ่มรับรู้รายได้ใน 2Q21 ที่ผ่านมา และมีแผนที่จะขยายอีก 2 ลำในเดือนเมษายนและกันยายน 2022 จากมีสัญญาระยะยาว 10 ปีกับลูกค้า ซึ่งเราคาดจะเป็นธุรกิจที่จะมีการเติบโตที่สูงใน 1-2 ปีข้างหน้า 3) ธุรกิจ Offshore: หลังการรับรู้เรื่อ Crew Boat 13 ลำจาก TM รายได้ของธุรกิจนี้พลิกฟื้นตามการให้บริการลูกค้า และอัตราการใช้เรือเพิ่มขึ้น ซึ่งมีทิศทางที่ดีจากกิจกรรมขุดเจาะเพิ่มขึ้น และบริษัทมีแผนขยายไปยังมาเลเซีย 4) ธุรกิจ Ship management เติบโตเช่นกัน จากการมีธุรกิจใหม่ Ship agent และจำนวนเรือให้บริการนอกกลุ่มเพิ่มขึ้น

คาดปี 2022F กำไรจากการดำเนินงานหลักเติบโตสูง 30% YoY

เราปรับประมาณการผลประกอบการปี 2021 ขึ้นจากเดิม 17% สะท้อนกำไรจากการขายเรือ 448 ล้านบาท แต่ปรับปี 2022-23F เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยคาดกำไรสุทธิปี 2021F อยู่ที่ 1,517 ล้านบาท (-1.1% YoY) และกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,136 ล้านบาท (-26% YoY) สำหรับปี 2022-23F เราคาดกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,477 ล้านบาท (30% YoY) และ 1,683 ล้านบาท (14% YoY) ตามลำดับ โดยการเติบโตมาจากผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ การปรับพอร์ตเรือและการบริหารจัดการที่ดี

คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสมใหม่ 8.85 บาท

เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ PRM ราคาเป้าหมาย 8.85 บาท อิงจาก PER 15 เท่า 2022F ปัจจุบัน PRM ซื้อขายอยู่ที่ 10.4 เท่าปี 2022F ซึ่งซื้อขายอยู่ที่เพียง -1SD ค่าเฉลี่ยในอดีต

ปรับประมาณการผลประกอบการสะท้อนผลประกอบการใน 9M21 และแนวโน้มแต่ละธุรกิจ

เราปรับประมาณการผลประกอบการปี 2021F ขึ้นจากเดิม 17% แต่ปรับปี 2022-23F เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลักๆ ในการปรับประมาณการเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานใน 9M21 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,223 ล้านบาท (+10% YoY) โดยระหว่างปี PRM มีกำไรจากการขายเรือจำนวน 3 ลำ มูลค่ารวม 448 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าวกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 853 ล้านบาท (-28% YoY) ดังนั้นเราปรับประมาณการคาดกำไรสุทธิปี 2021F อยู่ที่ 1,517 ล้านบาท (-1.1% YoY) ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,136 ล้านบาท (-26% YoY) สำหรับปี 2022-23F เราคาดกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,477 ล้านบาท (30% YoY) และ 1,683 ล้านบาท (14% YoY) ตามลำดับ โดยการเติบโตมาจากผลจากการปรับโครงสร้างธุรกิจการปรับพอร์ตเรือ และการบริหารจัดการที่ดีขึ้น

  • ธุรกิจขนส่งเรือขนาดเล็กผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว: ธุรกิจเรือขนส่งในประเทศหรือเรือขนาดเล็กผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2Q21 และเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนใน 3Q21 ด้วยรายได้ 624 ล้านบาท (29% YoY, 8% QoQ) และตามการเพิ่มจำนวนกองเรือหลังรับรู้เรือจาก TM หรือทรูธ มาริไทม์ ทำให้จำนวนเรือเพิ่มขึ้นมาที่ 34 ลำ ขนาด 121,700 DWT ซึ่งจำนวนเรือที่รับมาทั้ง 3 ลำมีขนาด 7,000 DWT ให้บริการขนส่งปิโตรเคมีและมีการขยายเส้นทางไปยังเอเชียใต้ ทำให้อัตราการใช้เรือปรับตัวดีขึ้นมาที่ 81.9% จากเดิม 75.6% ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะเน้นการให้บริการเรือขนส่งปิโตรเคมีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในตลาดนี้ยังไม่มีผู้ครองตลาด และบริษัทเห็นโอกาสในการขนส่งมากยิ่งขึ้นจากโรงกลั่นหลายแห่งมีแผนเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมากขึ้นในระยะยาว โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มเรือ 3-4 ลำ หรับการขนส่งปิโตรเคมีในปี 2022F ด้วยงบลงทุน 800 ล้านบาท เราปรับประมาณการรายได้ขึ้นเล็กน้อยเพื่อสะท้อนการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของปริมาณการขนส่งน้ำมันในประเทศในจากมาตรการ Re-opening ซึ่งจะทำให้กิจกรรมการเดินทางมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันอากาศยาน ที่ก่อนหน้านี้ปริมาณการใช้ต่ำ สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น เราคาดด้วยอัตราการใช้เรือที่เพิ่มขึ้นและสัญญา TC จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20% และเพิ่มขึ้นเป็น 22% ในปี 2022-23F จากอัตราการใช้เรือที่สูงขึ้น
  • ธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศเป็นอีกธุรกิจที่จะเติบโตสูงใน 1-2 ปีนี้: เรือขนส่งระหว่างประเทศขนาด Aframax ของบริษัทยังได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากเป็นสัญญา Spot แต่เรือ VLCC หรือ Crude Tanker ซึ่งให้บริการในการขนส่งน้ำมันให้กับ Thai oil จำนวน 1 ลำสามารถหักล้างปัญหานั้นได้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นรูปแบบสัญญา Time Charter ทำให้รายได้มั่นคง ในขณะที่ไม่มีผลจากความผันผวนด้านต้นทุน เห็นได้จากในช่วง 3Q21 รายได้ของเรือขนส่งระหว่างประเทศเติบโตสูงถึง 2 เท่าตัว YoY และ 26% QoQ จากการรับรู้การดำเนินงานเรือ VLCC เต็มไตรมาส สำหรับทั้งปี 2021F เราคาดรายได้อยู่ที่ 489 ล้านบาท (191% YoY) และปี 2022F ที่ 940 ล้านบาท (92% YoY) และ 1,636 ล้านบาท (10% YoY) ในปี 2023F ตามแผนการเพิ่มเรือ VLCC ตามสัญญาให้บริการกับ Thai oil โดย 2 ลำในเดือนเมษายน 2022 และกันยายน 2022 สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นปัจจุบันอยู่ที่ 17% เราคาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20-22% ได้จากการบริหารจัดการที่ดีขึ้น และผลกระทบจากเรือ Aframax ที่ลดลงจากบริษัทมีแผนที่จะปรับสัญญาเรือลำดังกล่าวเป็น Time Charter
  • ธุรกิจ FSU ไม่หวือหวา แต่รายได้ไม่ผันผวนแล้ว: ในปี 2020 ธุรกิจเรือ FSU เป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้แก่บริษัท สำหรับในปีนี้เราคาดธุรกิจ FSU จะมีรายได้ 2,501 ล้านบาท ลดลง -23% YoY เนื่องมาจากบริษัทมีการปรับลดกองเรือลงปัจจุบันอยู่ที่ 6 ลำ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เรือของลูกค้า ทำให้อัตราการใช้เรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 86% ใน 3Q21 จาก 78% ใน 2Q21 ทำให้ยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรไว้ที่ระดับ 46-48% ได้สําหรับปี 2022-23F เราคาดรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับที่ทรงตัวกับปี 2021F จากไม่มีแผนการเพิ่มกองเรือ
  • ธุรกิจ Offshore เติบโตได้ดี และเป็นธุรกิจเดินจากกิจกรรม E&P ที่คาดจะมากขึ้น: ธุรกิจ Offshore ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน เนื่องจากลูกค้ามีการชะลอการใช้บริการ ทำให้บริษัทต้องมีการจำหน่ายเรือออกไป 2 ลำในปีที่แล้ว เหลือเพียง Accommodation Work Barge 1 เท่านั้น ทำให้รายได้ไม่มีรายได้ใน 1Q21 แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q21 เป็นต้นมา จากจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น 13 ลำ สำหรับเรือ Crew Boat ที่ได้รับจากการเข้าซื้อ TM ซึ่งเรือดังกล่าวมีสัญญาการให้บริการกับลูกค้าแล้ว ทำให้กลับมามีรายได้ตั้งแต่ 2Q21 เป็นต้นมา ซึ่งเราคาดรายได้ปี 2021F อยู่ที่ 354 ล้านบาท (57% YoY) และ 558 ล้านบาท (58% YoY) ในปี 2022F จากอัตราการใช้เรือที่เพิ่มสูงขึ้น และบริษัทมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าให้บริการไปยังต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย จากกิจกรรมการขุดเจาะที่มากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจดังกล่าว และด้วยอัตราการใช้เรือที่กลับมาระดับสูง 88% อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นมาที่เกือบ 40% ใน 3Q21 ซึ่งเราคาดอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมจะอยู่ที่ระดับ 35-40%
  • ธุรกิจ Ship management ลูกค้ามากขึ้น: ธุรกิจให้บริการเรือ และ Agent จากบริษัทมีการให้บริการเรือภายในกลุ่มและนอกกลุ่ม ปัจจุบันให้บริการเรือนอกกลุ่ม 4 ลำ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากบริษัทได้รับธุรกิจ Ship agent จากการเข้าซื้อ TM มาด้วย ทำให้บริษัทมีธุรกิจใหม่ที่ให้บริการลูกค้า เราคาดรายได้ในปี 2021-23F อยู่ที่ 330 ล้านบาท (33% ToY) 373 ล้านบาท (13% YoY) และ 411 ล้านบาท (10% YoY) ซึ่งธุรกิจนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี เนื่องจากเป็นงานให้บริการที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งเราคาดอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40-45%

มูลค่าที่เหมาะสม 8.85 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

มูลค่าที่เหมาะสมของเราอยู่ที่ 8.85 บาท อิงจาก PER 15 เท่าปี 2022F โดยเรายังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ PRM จากการเห็นผลที่ชัดเจนจากการปรับโครงสร้างธุรกิจตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทั้งการปรับพอร์ตเรือและการเข้าซื้อกิจการ TM ที่เริ่มรับรู้รายได้ใน 2Q21 เป็นต้นมา ที่สามารถเข้ามาช่วยทดแทนรายได้จากธุรกิจ FSU ที่ลดลง และยังเป็นปัจจัยในการเติบโตใหม่ของบริษัทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากการมีธุรกิจใหม่และการมีสัญญาให้บริการลูกค้าในระยะยาว อีกทั้งสถานการณ์การฟื้นตัวที่ดีขึ้นในแต่ละธุรกิจของบริษัท และปัจจุบัน PRM ซื้อขายอยู่ที่ 10.4 เท่าปี 2022F ซึ่งอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของบริษัท และคิดเป็น PEG เพียง 0.4 เท่าสำหรับปี 2022F

ปัจจัยเสี่ยงสำหรับ PRM ได้แก่ 1) รายได้และผลตอบแทนจากการเข้าซื้อ TM น้อยกว่าที่เราคาดไว้ 2) การยกเลิกสัญญาของลูกค้า 3) การระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีต่อเนื่องซึ่งจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ

- Advertisement -