Daily Focus: Selective Play
ตลาดหุ้นวานนี้:
SET Index รีบาวด์ได้แข็งแรงในช่วงเปิดตลาด แต่ยังคงไม่ผ่านแนวต้าน 1,610 จุด ตามที่เราประเมินก่อนที่จะมีแรงขายอย่างหนาแน่นกดดันโดยเฉพาะช่วงบ่าย ทําให้ดัชนีย้อนลงมาปิดลบอีกถึง 21 จุด จากความกังวลโอไมครอน หลัง Moderna กล่าวว่าวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพป้องกันลดลง สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 2.5 พันลบ. และ 3.5 พันลบ. ตามลำดับ รวมถึงบัญชี บล.ที่ขายหนักถึง 7.2 พันลบ. (ต่างชาติยัง Short Index Futures อีกเล็กน้อย 4.4 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้:
เราคาด SET Index มีโอกาสเกิด Technical Rebound ระยะสั้น หลังปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันเกือบ 80 จุด หรือราว 5% สะท้อนความกังวลเรื่องโอไมครอนไปแล้วค่อนข้างมาก ขณะที่ล่าสุดผู้ก่อตั้ง BioNTech ระบุว่าวัคซีนปัจจุบันน่าจะยังสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นกดดันเพิ่มเติมมาจากประธาน FED ที่ระบุว่าเงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัจจัยชั่วคราว และ FED จะประชุมเดือน ธ.ค. เพื่อสรุปการเร่งลด QE ให้เร็วกว่าแผนเดิมที่ US$ 1.5 หมื่นล้านต่อเดือน ซึ่งจะทำให้ QE คาดถูกยุติดลงในช่วงใบไม้ผลิสิ้น 1Q21 และทำให้โอกาสขึ้นดอกเบี้ยใน 2H22 ค่อนข้างแน่นอน ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเรายังให้น้ำหนักกับการแพร่ระบาดของโอไมครอนมากกว่า หากไม่ระบาดเป็นวงกว้างหรือวัคซีนที่มียังเพียงพอป้องกันป่วยหนัก และรอวัคซีนตัวอัพเดทได้ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า เรายังให้น้ำหนักเชิงบวกกับเศรษฐกิจ รวมถึง Domestic และ Reopening Play ที่จะทยอยฟื้นตัวระยะยาว แต่จากปัจจุบันที่ยังไม่มีความชัดเจน ระยะสั้นเราจึงเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัด ได้แก่ การแพทย์ ส่งออก โลจิสติกส์ เทคโนโลยี ส่วนที่แนะนำให้สะสมบริเวณ 1,590-1,600 จุด แนะนำถือต่อเนื่องและมองกรอบ 1,550-1,570 จุด ปัจจุบันเป็นระดับที่น่าสนใจในการสะสมเพิ่ม
กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่กระทบจาก COVID-19 จํากัดหากระบาดระลอกใหม่
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค.: BCH, JWD, MEGA, NSL, SYNEX
หุ้นเด่นวันนี้: CHG
- แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 4.70 บาท
- เป็นหลุมหลบภัยที่ดีหากเกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่เป็นวงกว้าง ซึ่งจะหนุนให้รายได้จากการรักษาและตรวจเชื้อยังคงอยู่ในระดับสูง
- ระยะสั้นกำไร 4Q21 คาดยังโตแรง +160% Y-Y จากรายได้เกี่ยวเนื่อง COVID-19 ที่สูงกว่าปีก่อน และรายได้ผู้ป่วยเงินสดและประกันสังคมที่กลับมาดีขึ้น โรงพยาบาล RPC และ 304 เข้าสู่ช่วงเติบโตและระยะยาวรองรับด้วยการลงทุนโรงพยาบาลใหม่ทั้งแม่สอด แพรกษา และศูนย์มะเร็ง
- แนวรับ 3.78-3.80 บาท แนวต้าน 3.94 // 4 บาท
Fund Flow:
วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่น US$ 1,153 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$ 770 ล้าน และ US$ 184 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลออกนำโดยไทย US$ 105 ล้าน ตามลำดับ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดยังค่อนไปในทิศทางไหลออกหลังประธาน FED ระบุจะต้องลด QE เร็วกว่าคาด และเงินเฟ้อจะไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วคราว
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) กลยุทธ์การลงทุนเดือน ธ.ค. เราประเมินกรอบ SET Index เดือน ธ.ค. ที่ 1,550 1,630 จุด และจับตาข้อมูลและความเสี่ยงเพิ่มเติมจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งมีแนวโน้มที่วัคซีนที่มีจะป้องกันได้น้อยลงและเสี่ยงทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ กดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจ รวมถึงจะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารทั่วโลกยากมากขึ้นจากภาวะ Stagflation โดยเฉพาะจากเงินเฟ้อที่ยังเร่งตัว กลยุทธ์จึงแนะนำ “แบ่งไม้ทยอยสะสม” ที่ระดับ 1,590 จุด และ 1,550-1,570 จุด ส่วนหุ้นแนะนำเดือนนี้ เราเลือกหุ้นที่ไม่ถูกกระทบจาก COVID-19 ได้แก่ BCH JWD MEGA NSL SYNEX
(+) MEGA เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จำกัด แม้เกิดการระบาดระลอกใหม่ ระยะสั้นคาดกำไร 4Q21 มีลุ้นทำ New High ต่อเนื่องจาก High Season ที่ผู้บริโภคจะซื้อวิตามินเป็นของขวัญช่วงปีใหม่ ส่วนระยะยาวได้ประโยชน์โดยตรงจาก Mega Trend การดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่ง MEGA มีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือเราคาดกำไรปี 2021-2022 +32% Y-Y และ +14% Y-Y คงราคาเป้าหมาย 63 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) KCE เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่คาดถูกกระทบจำกัด หากเกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ โดยปัจจัยหนุนการเติบโตยังมาจากเทรนด์ Digital และการเติบโตของ EV หนุนความต้องการใช้แผง PCB แนวโน้มกำไร 4Q21 คาดทํา New High แตะระดับ 700 ลบ. หลังหมดปัญหาแรงงานติดเชื้อ และจะเร่งตัวขึ้นใน 1Q21 จากกำลังการผลิตใหม่อีก 20% ที่จะเดินเครื่องเต็ม ส่วนคำสั่งซื้อเห็นยาวถึง 2H22 ซึ่งช่วยปิด Downside ด้านรายได้เราคาดกําไรปี 2021-2022 +120% Y-Y และ +35% Y-Y ยังคงราคาเป้าหมาย 100 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 652.22 จุด หรือ 1.86% ปิดที่ 34,483.72 จุด หลังจากนายเจอโรมพาวเวลประธานเฟดแถลงว่าเฟตอาจปรับลดวงเงินในโครงการ QE มากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะหารือกันในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 ธ.ค. ซึ่งเร็วกว่าคาด รวมถึงกดดันจากผู้บริหารของบริษัท โมเดอร์นาคาดว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในการป้องกันไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้ลดลง
(-) ตลาดเอเชีย ปรับลงตามทิศทางตลาดดาวโจนส์ ท่ามกลางความกังวล COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน หลังพบผู้ติดเชื้อในหลายประเทศ
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.69 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 3.77 ดอลลาร์ หรือ 5.4% ปิดที่ 66.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากผู้บริหารของบริษัท โมเดอร์นา คาดว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน ขณะที่ติดตามการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค. และ EIA เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบในวันนี้ ท่ามกลางนักวิเคราะห์คาดลดลง 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 8.7 ดอลลาร์หรือ 0.49% ปิดที่ 1,776.5 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากนายเจอโรมพาวเวลประธานเฟดส่งสัญญาณยุติ QE เร็วกว่าที่คาด
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 992.85 / +-