บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
LALIN PROPERTY ผลประกอบการยังแข็งแกร่งไม่หวั่น COVID-19
Action
BUY (Maintain)
TP upside (downside) 39.2%
Close Dec 02, 2021 Price (THB) 9.05
12M Target (THB)
Previous Target (THB) 12.60
What’s new?
- กำไรปกติ 3Q64 ทรงตัวได้ QoQ และเติบโตเด่น YoY จากอุปสงค์แนวราบที่ยังแข็งแกร่ง
- บริษัทมียอดเปิดตัวโครงการใหม่สะสม 9M64 ที่ 4.5 พันลบ. คาดเปิดตัวเพิ่มอีก 1 โครงการใน 4Q64 มูลค่าราว 600 ลบ.
- คาดกำไร 4Q64 เบื้องต้นที่ระดับ 350-375 ลบ. เติบโตขึ้น 3-11% QoQ หนุนจากการฟื้นตัวของสถานการณ์ COVID-19 และการผ่อนคลายมาตรการป้องกันของรัฐ
Our View
- คงประมาณการกำไรปี 2564/65 ที่ 1.2 พันลบ. และ 1.4 พันลบ. ตามลำดับ อย่างไรก็ดี กำไรปกติช่วง 9M64 คิดเป็นกว่า 82% จึงคาดประมาณการปี 2564 ของเรายังมี Upside risk อยู่ราว 10% +/-
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 12.60 บาท/หุ้น (อิง PER2565 ท่ี 8.2x) พร้อมคาดปรับเงินปันผลงวด 2H64 และปี 2565 ที่ 0.31 บาท/หุ้น และ 0.65 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 3.4% และ 7.2% ตามลำดับ
กำไรปกติ 3Q21 โตเด่น YoY ท่ามกลางปัจจัยลบรอบด้าน
บริษัทรายงานรายได้และกำไรสุทธิ 3Q64 ที่ 1.6 พันลบ (-3.0% QoQ, +12.0% YoY) และ 339 ลบ. (-3.6% QoQ, +10.2% YoY) ตามลำดับ ปรับตัวขึ้นโดดเด่น YoY จากอัตราดูดซับอุปทาน และยอดโอนกรรมสิทธิโครงการแนวราบที่ยังโดดเด่นต่อเนื่อง จากอานิสงส์ของการแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งนี้กำไรที่ลดลงเล็กน้อย QoQ มาจากผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกที่ 3 อาทิ มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 30 วันในช่วงเดือน ก.ค. 2564 อัตรากำไรขั้นต้นใน 3Q64 อยู่ที่ 38.9% ทรงตัวทั้ง QoQ และ YoY และเป็นระดับที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (ไม่ต้องพึ่งพากลยุทธ์ทางด้านราคากระตุ้นการระบายสินค้าเพื่อแลกกับกระแสเงินสด) และการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างและที่ดินของโครงการเปิดตัวใหม่ในช่วงปี 2562-2564 ที่ทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ SG&A ในช่วง 3Q64 รายงานที่ 208 ลบ. (-2.9% QoQ, +15.2% YoY) ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ตามสัดส่วนรายได้ (อัตราส่วน SG&A/Sales ใน 3Q64 ที่ 12.8% ทรงตัวทั้ง QoQ และ YoY)
ปี 2564 คาดยอดเปิดตัวโครงการหนาแน่นที่ 5.1 พันลบ … ปี 2565 คาดเติบโตต่อ
ในช่วง 9M64 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการรวมมูลค่า 4.5 พันลบ. และคาดมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 1 โครงการใน 4Q64 มูลค่าราว 600 ลบ. +/- ทำให้เราคาดยอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2564 ที่ 5.1 พันลบ. ทรงตัว YoY แต่ถือว่าดีกว่าอุตสาหกรรมที่ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงราว 15-20% YoY สำหรับปี 2565 เราคาดยอดเปิดตัวโครงการใหม่จะเติบโตขึ้น 15-20% อยู่ที่ระดับ 5.9-6.1 พันลบ. เป็นอย่างน้อย (คาดโครงการเปิดใหม่ยังเป็นแนวราบ 100%) ซึ่งจะเป็นปัจจับสำคัญหนุนการเติบโตของยอดขายและรายได้ในปี 2565/66
คาดผลประกอบการ 4Q64 เติบโตขึ้น QoQ … โควิดสายพันธุ์ใหม่หนุนแนวราบเด่นถึงปี 2566
เราคาดผลประกอบการ 4Q64 เบื้องต้นที่ระดับ 350-375 ลบ. ฟื้นตัวขึ้น 3-11% QoQ จาก 1) สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอก 3 ที่ฟื้นตัวดีขึ้น เป็นผลให้รัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เป็นบวกต่อกิจกรรมการเดินทางและยอดเยี่ยมชมโครงการ 2) มาตรการปิดแคมป์ก่อสร้างที่สิ้นสุดไปแล้วในช่วง 3Q64 กิจกรรมการตรวจรับเก็บงานก่อสร้างและการโอนกรรมสิทธิ์จึงมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น 3) การเข้าสู่ช่วง High season ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์หนุนด้วยโครงการที่เปิดตัวใหม่ในช่วง 9M64 รวมมูลค่า 4.5 พันลบ. เป็นปัจจัยหนุนรายได้ และ 4) การเริ่มต้นการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” คาดเป็นปัจจัยกดดัน Sentiment ของอุปสงค์โครงการแนวสูง (แม้ปัจจุบันยังไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทย) สินค้าแนวราบจึงมีแนวโน้มที่จะ Outperform ต่อเนื่องไปยังช่วงต้นปี 2566 เป็นอย่างน้อย
ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” และปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 12.60 บาท/หุ้น
เราคงประมาณการกำไรปกติปี 2564/65 ที่ 1.2 พันลบ. (+5.3% YoY) และ 1.4 พันลบ. (+13.6% YoY) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี กำไรปกติในช่วง 9M64 ที่ 1.0 พันลบ. คิดเป็นกว่า 82% จากประมาณการกำไรปกติทั้งปี 2564 ของเราที่ 1.2 พันลบ., แนวโน้มผลประกอบการ 4Q64 ที่ควรปรับตัวดีขึ้น QoQ และเทรนด์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยท่ามกลางความกังวลของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ คาดเป็นผลให้ประมาณการปี 2564/65 ของเรายังมี Upside risk อยู่ราว 10% และ 5-10% ตามลำดับ
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 ที่ 12.60 บาท/หุ้น (อิง PER2565 ที่ 8.2% เทียบเท่า +2.3SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท และใกล้เคียงกับกลุ่มที่ 7.6x) พร้อมคาดเงินปันผลงวด 2H64 และปี 2565 ที่ 0.31 บาท/หุ้น และ 0.65 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 3.4% และ 7.2% ตามลำดับ