PRM บริหารพอร์ตกองเรือท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ตอกย้ำเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม ผลักดันการเติบโตในกลุ่มธุรกิจ Offshore รวมทั้งกลุ่มเรือขนส่งระหว่างประเทศเป็นหัวหอกเผยหลังลงทุนซื้อกิจจากกลุ่มไทยออยล์ ได้รับเรือ Crew boat จำนวน 13 ลำ ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าของกลุ่ม Crew Boat ได้ทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยมีอัตราการใช้เรือเพิ่มขึ้นเป็น 90% มั่นใจช่วยสร้างการเติบโตและความมั่นคงของรายได้ แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบวงกว้าง  

 

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเหลวทางเรือ เปิดเผยว่ ภาพรวมการดำเนินงานปีนี้มีความท้าทายในเชิงการบริหารพอร์ตกองเรือให้สอดรับภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทนำหลักการบริหารที่เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัว ซึ่งสะท้อนศักยภาพการดำเนินงานที่มีจุดเด่นด้านโครงสร้างธุรกิจและพอร์ตกองเรือที่หลากหลาย ทำให้ PRM สามารถเอาชนะความท้าทายเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต แม้สถานการณ์ในปีนี้จะมีปัจจัยลบจากโควิด-19 ที่เป็นตัวฉุดรั้งภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยก็ตาม

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ ที่แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยการบริโภคน้ำมันภายในประเทศที่ชะลอตัวลง แต่ด้วยแผนงานมุ่งรักษาอัตราการใช้เรือให้มีประสิทธิภาพ จากการปรับเส้นทางขนส่งให้สอดคล้องสถานการณ์ตลาดและพร้อมรับเปลี่ยนเส้นทางให้เหมาะสมในอนาคต เพื่อรับกับจังหวะโอกาสการใช้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีภายหลังภาครัฐมีนโยบายเปิดประเทศ จึงทำให้ธุรกิจดังกล่าวยังคงสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอให้แก่ PRM เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ FSU หรือเรือขนส่งและกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล ที่มุ่งรักษาอัตราการใช้เรือให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

นอกจากนี้ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ PRM มองเห็นถึงความต้องการใช้เรือในกลุ่มธุรกิจ Offshore Support ที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทจึงลงทุนซื้อกิจการบริษัททรูธ มาริไทม์ จำกัด จากกลุ่มไทยออยล์ โดยได้รับเรือ Crew boat จำนวน 13 ลำ จากการเข้าซื้อครั้งนี้ และจาก Marketing Arm ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าของกลุ่ม Crew Boat ได้ทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยมีอัตราการใช้เรือเพิ่มขึ้นเป็น 90% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งบริษัทได้จัดหาเรือ VLCC ขนาด 300,000 DWT มาให้บริการขนส่งปิโตรเลียมแก่กลุ่มไทยออยล์ภายใต้สัญญาระยะยาว ซึ่งช่วยสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ (Recurring Income) และพร้อมเติบโตต่อไปในอนาคตจากการขยายกองเรือในกลุ่มธุรกิจนี้ในปีถัดไป

ด้วยแผนการดำเนินงานในปี 2564 นี้ ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากการการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง พร้อมทั้งยังสามารถจ่ายเงินปันผลเพื่อตอบแทนใผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมก้าวสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในปี 2565 สอดรับกับโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

***********************

- Advertisement -