Daily Focus – Selective Play

ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index แกว่งตัวแรงกว่าคาด แม้จะปรับตัวในแดนลบเกือบทั้งวัน แต่มีแรงซื้อหนาแน่นช่วงท้ายตลาด หนุนดัชนีพลิกมาปิดบวก 4.81 จุด สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นหนาแน่น 3 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 3.7 พันลบ. (และ Long Index Futures เล็กน้อย 3.1 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้:

เราคาด SET Index แกว่ง Sideways กรอบ 1,625-1,635 จุด โดยคาดตลาดรอติดตามปัจจัยสำคัญคือผลการประชุม FED คืนนี้ว่าจะเร่งลด QE เป็น U$ 3 หมื่นล้านต่อเดือน และ Dot Plot แสดงมุมมองขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นเป็น 2 ครั้งในปี 2022 ตามที่คาดหรือไม่ ขณะที่ประเด็นโอมิครอนที่มีความเสี่ยงระบาดมากขึ้นยังต้องติดตาม โดยล่าสุด Pfizer ระบุว่าประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้ออยู่ที่ 33% แต่ยังสามารถป้องกันการป่วยหนักและนอนโรงพยาบาลได้ 70% ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัย Overhang กลุ่ม Reopening Play ระยะสั้นให้ปรับขึ้นได้จำกัด อย่างไรก็ตาม เราคาดเป็นเพียงปัจจัยกดดันระยะสั้น โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ SET Index และเศรษฐกิจไทยในปี 2022 รวมถึงการเร่งฉีด Booster Shot เพื่อต่อกรโอมิครอน ระยะกลาง-ยาวยังแนะนำ “ถือลงทุน” ต่อเนื่องที่ให้ทยอยสะสม 2 ระดับ ได้แก่ 1,590-1,600 จุด และ 1,550-1,570 จุด ส่วนระยะสั้นเน้นเก็งกำไรหุ้นที่กระทบจาก COVID-19 จำกัด และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและกระทบจาก COVID-19 จำกัด

หุ้นเด่นเดือน ธ.ค.: BCH, JWD, MEGA, NSL, SYNEX

หุ้นเด่นวันนี้: JWD

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
  • แนวโน้มกำไร 4Q21 ยังอยู่ในระดับสูงแข็งแกร่งต่อเนื่อง จากธุรกิจ Logistic ที่ยังแข็งแกร่ง หนุนกำไรปกติทั้งปี 2021 +25% Y-Y ทั้งที่มี Lockdown (กำไรสุทธิ +80% Y-Y)
  • กำไรปี 2022 ที่คาด +29% Y-Y อาจมี upside จาก Synergy เต็มปีที่ได้จากการลงทุน 6 ดีลในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น ESCO, Fuze Post (Cold chain express), MyCloudFulfillment, Alpha (จับมือกับ ORI) และมีแผนสร้างห้องเย็นเพิ่มขยายบริการสู่ธุรกิจ Health connect (Health care Logistic solution) รวมถึงธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามและกัมพูชา ที่จะฟื้นเร็วหลังโควิด และมีแผน IPO บ.ย่อย (JWD Transport) ราว 4Q22
  • แนวรับ 15.80-15.60 บาท แนวต้าน 16.50-16.80 บาท

Fund Flow:

วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$ 258 ล้าน และค่อนข้างกระจัดกระจาย โดยไหลออกกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$ 513 ล้าน แต่ไหลเข้าเกาหลีใต้และไทย US$ 191 ล้านและ US$ 112 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามไหลออกบางๆ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดยังค่อนไปในทิศทางไหลออกและเบาบาง รอดูผลการประชุม FED คืนนี้ และการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่ยังมีความเสี่ยงลุกลาม

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) จับตาประชุม FED คืนนี้ ตลาดคาดปรับลดวงเงิน QE มากขึ้นจากเดิมเท่าตัวเป็นจาก US$ 1.5 หมื่นล้านต่อเดือน เป็น US$ 3 หมื่นล้านต่อเดือน และจะยุติ QE ในช่วงปลาย 1Q22- ต้น 2Q22 ส่วน Dot Plot คาดกรรมการส่วนใหญ่มองปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ยังประเมินตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะอาเซียนถูกกระทบจำกัด จาก Flow ที่ไม่ได้ไหลเข้าในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา มองจังหวะพักตัวของดัชนีลงบริเวณ 1,600 จุดหรือต่ำกว่ายังเป็นจังหวะสะสมเพื่อถือลงทุนในปีหน้า และยังคงเป้าหมายดัชนีที่ 1,770 จุด

(+) ธุรกิจยา เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นหนึ่งในไม่กี่อุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในทางตรงกันข้าม COVID-19 ทำให้เกิดกระแสรักสุขภาพซึ่งเป็น New normal ผลักดันให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็วและโตต่อเนื่อง แม้ COVID-19 จะคลี่คลาย แม้ว่าผู้เล่นจะมีจำนวนมากทำให้การแข่งขันรุนแรง ทั้งผู้ผลิตและร้ายขายยา แต่ตลาดสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพมีโอกาสเติบโตมากกว่าที่ Euromonitor คาด +5.2% CAGR ใน 5 ปีข้างหน้า เราเชื่อว่าตลาดใหญ่พอที่จะรองรับผู้เล่นจำนวนมากได้ เราเลือก MEGA (ซื้อ TP 63 บาท) และ HL (ถือ TP 15 บาท) เป็น Top picks ของกลุ่ม MEGA มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และ 2022 PE 21.8 เท่า ถูกกว่า IP, JP ราวครึ่งหนึ่ง ส่วน HL มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่น กำไรมีเสถียรภาพความเสี่ยงต่ำ (Finansia เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดจำหน่ายฯ หุ้น IPO HL)

(0) NRF คาดกำไรสุทธิ 4Q21 จะเติบโตแรง Q-Q และ Y-Y อาจทำจุดสูงสุดใหม่เป็นตัวเลขสามหลักจากกำไรขายเงินลงทุน 25% ในธุรกิจกัญชง (GTH) ส่วน Operation หลักยังฟื้นช้าแม้มาตรการล็อกดาวน์เริ่มผ่อนคลาย แต่ยังคงมีปัญหา Container Shortage และบ.ร่วม Plan and Bean, UK ยังขาดทุนอยู่และคาด 1H22 อาจรับรู้กำไรขายเงินลงทุนได้ต่อ เพราะมีแผนขายเงินลงทุนใน Boosted, US อีก มีโอกาสที่กำไรปี 2021 จะสูงกว่าคาด 15-20% และยังคาดปี 2022 โตสูง +291% Y-Y คงราคาเป้าหมาย 9 บาท แนะนำเพียง “เก็งกำไร”

(0) คาดหุ้นเข้า-ออก SET50 / SET100 งวด 1H/22 โดยใช้สมมติฐาน Turnove Ratio ที่ 2.5% จะได้หุ้นคาดเข้า SET50 ได้แก่ AWC TIDLOR BANPU และหุ้นคาดเข้า SET100 ได้แก่ XPG TTA TIDLOR STARK RCL KEX EPG BPP BLA AWC ส่วนหุ้นคาดออก SET50 ได้แก่ STA DELTA BJC และหุ้นคาดออก SET100 ได้แก่ TKN RS QH PTL PRM NRF ICHI DELTA BJC AAV

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 106.77 จุด หรือ -0.30% ปิดที่ 35,544.18 จุด จากนักลงทุนกังวลว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่พุ่งขึ้นทำนิวไฮในเดือนพ.ย. จะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปรับตัวลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเฮลท์แคร์ที่ร่วงลง และถูกกดดันจากการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดติดลบ หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นเกินคาด ขณะที่นักลงทุนดูรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือเช้าตรู่วันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย

(-) ตลาดเอเชีย ส่วนใหญ่ปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องไวรัสโอไมครอน และรอท่าทีประชุมเฟดวันพฤหัสบดีนี้

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.42 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 56 เซนต์หรือ 0.8% ปิดที่ 70.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้

(-) ราคาทองคํา COMEX ลดลง 16 ดอลล่าร์ หรือ 0.89% ปิดที่ 1,772.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. ของสหรัฐพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

SPDR Gold Trust ถือครองทองคํา 980.60

- Advertisement -