Daily Focus – Value and Selective Play

ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index ปรับตัวขึ้นตลอดวันและปิดบวกแข็งแกร่ง 21.66 จุด รับเม็ดเงินที่ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก หลังทราบผลการประชุม FED ทั้งการเร่งลด QE และขึ้นดอกเบี้ย สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นบางๆ 127 ลบ.  ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหนาแน่น 4.7 พันลบ. (และ Long Index Futures กว่า 1.2 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้:

เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,640 1,650 จุด ลดความร้อนแรงระยะสั้น หลังจากปรับขึ้นแรงวานนี้ หลังทราบผลการประชุม FED ส่วนการประชุม BoE และ ECB โดยรวมเริ่มเห็นนโยบายที่ค่อยๆตัวขึ้นเช่นกัน เพื่อสกัดเงินเฟ้อไม่ให้ร้อนแรงเกินไปจนเกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจ ประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มธนาคาร จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก เรามองว่ากลุ่มที่จะได้รวมถึงกลุ่ม Value Play และ PE ต่ำที่จะเป็นเป้าลงทุนมากขึ้นจากแนวโน้ม Bond Yield ที่ปรับขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงเรื่องโอมิครอนแม้ตลาดจะไม่ให้น้ำหนักนักในช่วงนี้ แต่ยังต้องติดตามในช่วงสิ้นปีว่าจะเห็นการระบาดที่น่ากังวลขึ้นหรือไม่ แต่คาดว่าเป็นปัจจัยกดดันชั่วคราวเหมือนระลอกที่ผ่านมาๆ ทำให้ระยะยาวยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ SET Index และเศรษฐกิจไทยในปี 2022 ยังแนะนำ “ถือลงทุน” ต่อเนื่องที่ให้ทยอยสะสม 2 ระดับ ได้แก่ 1,590-1,600 จุด และ 1,550-1,570 จุด ส่วนระยะสั้นเน้นเก็งกำไรหุ้นที่กระทบจาก COVID-19 จํากัด และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้น Value Play และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว รวมถึงกระทบจาก COVID-19 จํากัด

หุ้นเด่นเดือน ธ.ค.: BCH, JWD, MEGA, NSL, SYNEX

หุ้นเด่นวันนี้: PJW

  • แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท
  • เราคาดกําไร 4Q21 จะเป็นจุดสูงสุดของปีเบื้องต้นคาด +53% Q-Q, -20% Y-Y ตามการ Reopening หนุน Demand บรรจุภัณฑ์พลาสติกฟื้นตัว เราคาดกำไรปี 2021 +45% Y-Y
  • ธุรกิจ Medical Plastic จะเริ่มสร้างรายได้ในปี 2022 เริ่มจากการจําหน่ายไซริงค์ล็อตแรกต้นปี โดยมี IP เป็นผู้ทำตลาดโรงพยาบาลให้ และจะเห็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจหลักคาดฟื้นตัวได้ต่อเนื่องเราคาดกำไรปี 2022 +26% Y-Y
  • แนวรับ 3.90-3.80 บาทแนวต้าน 4.10 // 4.20 บาท

Fund Flow:

วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคหนาแน่น US $ 1,771 ล้าน นำโดยฟิลิปปินส์ US$ 1,583 ล้าน รวมถึงเกาหลีใต้และไทยที่ไหลเข้าประเทศละ US$ 139-163 ล้าน แต่ไหลออกจากอินโดนีเซียและไต้หวัน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดชะลอการไหลเข้าระยะสั้น หลังตอบรับเชิงบวกต่อการประชุม FED ไปแล้ววานนี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) ประชุม ECB และ BoE มี Surprise โดย BoE ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.1% เป็น 0.25% เพื่อสกัดเงินเฟ้อเดือน พ.ย. ที่ +5.1% Y-Y สูงสุดในรอบ 10 ปี ส่วน ECB คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเช่นเดิม  แต่จะลดการซื้อพันธบัตรลง และจะยุติ PEPP ในเดือน มี.ค. 22 เช่นเดียวกับ FED ที่ยุติ QE

(+) Flow ไหลเข้า ตอบรับ FED เร่งลด QE และขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า เรามองกลุ่มที่ยัง Laggard ที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว คือ กลุ่มธนาคาร โดยปัจจุบัน SETBANK เทรดที่ PBV 0.73 เท่า ต่ำกว่าช่วงก่อน COVID-19 ซึ่งอยู่ที่ 0.8-0.9 เท่า ทำให้มีโอกาสเป็นเป้าในการถูกซื้อจากต่างชาติ Top Pick ยังเป็น KBANK SCB KKP ส่วนอีกกลุ่มขนาดใหญ่ที่ยัง Laggard และมานาน คือ โรงไฟฟ้า ได้แก่ GSPC BGRIM มีโอกาสกลับมา Underperform Outperform เช่นกัน ตามผู้นำกลุ่มอย่าง EA และ GULF ที่ปรับตัวขึ้นดีในปีนี้ รวมถึงได้ประโยชน์หากค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป

(+) JR การประชุมวานนี้โทนเป็นกลาง แนวโน้มกำไร 4Q21 คาดทรงตัว Q-Q ก่อนเร่งขึ้นใน 1Q22 จากปัญหาความล่าช้าของผู้รับเหมาหลัก ในส่วนท่อเมนในโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดินเหลือง-ชมพูที่คลี่คลาย ขณะที่ปี 2022 มีงานที่คาดว่าจะได้รับเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 7 พันลบ. โดยเฉพาะเหลือง-ชมพูเฟส 2 ที่คาดว่าจะได้ภายใน 1H22 หนุน Backlog ทะลุ 1 หมื่นลบ. รวมถึงโอกาสเป็นความร่วมมือกับ Partner รุก และต่อยอดธุรกิจวิศวกรรมไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เรายังคาดกำไรปี 2021-2022 +167 Y-Y และ +54% Y-Y คงราคาเป้าหมาย 10 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(0) คาดหุ้นเข้า-ออก SET50 / SET100 งวด 1H22 โดยใช้สมมติฐาน Turnover Ratio ที่ 2.5% จะได้หุ้นคาดเข้า SET50 ได้แก่ AWC TIDLOR BANPU และหุ้นคาดเข้า SET100 ได้แก่ XPG TTA TIDLOR STARK RCL KEX EPG BPP BLA AWC ส่วนหุ้นคาดออก SET50 ได้แก่ STA DELTA BJC และหุ้นคาดออก SET100 ได้แก่ TKN RS QH PTL PRM NRF ICHI DELTA BJC AAV

(-) ตลาดดาวโจนส์ลดลง 29.79 จุดหรือ -0.08% ปิดที่ 35,897.64 จุด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (16 ธ.ค.) โดยปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบมากกว่า 1 สัปดาห์ นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้น หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่าจะยังคงสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไป และยังคงเลือกที่จะดำเนินการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป

(+) ตลาดเอเชียส่วนใหญ่ยืนอยู่ในแดนบวก จากความชัดเจนในเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.51 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 72.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับสัญญาน้ำมัน

(+) ราคาทองคํา COMEX เพิ่มขึ้น 33.7 ดอลล่าร์หรือ 1.91% ปิดที่ 1,798.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด -19 สายพันธุ์โอมิครอน

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 977.7

- Advertisement -