Our View? ” มีเหตุให้พักอีกครั้ง”

คาดตลาดวันนี้ “แกว่งออกข้าง” มองแนวรับที่บริเวณ 1,640/1,630 และแนวต้านที่บริเวณ 1,650 / 1,660 คาดตลาดจะได้รับ Sentiment เชิงลบตามทิศทางตลาดต่างประเทศ จากแรงขายทำกำไร หลังปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นไปตามที่ตลาดคาด โดยจะเริ่มปรับลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในช่วงปีหน้า ทั้งนี้ FED จะเพิ่มการปรับลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ FED ยุติการทำ QE ลงในเดือน มี.ค.’65 เพื่อเตรียมปรับข้ึนอัตราดอกเบี้ยคร้ังแรกในช่วงเดือน มิ.ย. ขณะที่ Dot Plot ของ FED มีการคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 คร้ังในปีหน้า อย่างไรก็ดี คาดการท่ีนักลงทุนบางส่วนมองว่า FED มีโอกาสปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทันทีหลังยุติการทำ QE ในช่วงเดือน มี.ค. คาดจะเป็นปัจจัยลบอ่อนๆ กดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงอ่อนตัวลงได้บ้าง

ผสานกับการท่ีตลาดกลับมากังวลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธ์ุ Omicron อีกครั้ง หลังราชวิทยาลัยลอนดอน (ICL) เปิดเผยเชื้อไวรัสดังกล่าวมีโอกาสติดเชื้อซ้ำมากกว่าสายพันธุ์ Delta ถึง 5 เท่า รวมทั้งหลายประเทศเริ่มออกมาตรการจำกัดการเดินทางอีกครั้ง คาดจะกระตุ้นความกังวลดังกล่าวต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม เรายังมองประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงจิตวิทยาเชิงลบระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งเราประเมินว่าการที่เชื้อไวรัสสายพันธุ์ Omicron ยังไม่มีหลักฐานท่ีแน่นอนเกี่ยวกับอาการที่รุนแรงมากกว่าสายพันธ์ุอื่น รวมทั้งแนวโน้มการเข้ารักษาใน ร.พ. ที่น้อยกว่าสายพันธุ์อื่นมาก คาดตลาดจะกลับมาผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวหากได้รับข้อมูลที่มากขึ้นในระยะถัดไป

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ม.ค. เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาอ่อนตัวลงอีกครั้ง ปิดที่ 70.86 ดอลลาร์/บาร์เรล -1.52 ดอลลาร์ (-2.10%) จากความกงัวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส Omicron คาดจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันโลก หลังหลายประเทศในยุโรปออกมาตรการจำกัดการเดินทาง คาดจะกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานอ่อนตัวลงได้ต่อ

ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศ ยังคงแนะนำติดตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงท้ายของปีนี้ อาทิ โครงการช้อปดีมีคืน และคนละครึ่ง คาดจะออกมาในช่วงสัปดาห์นี้ คาดหนุนหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและธนาคาร รวมท้ังเป็นจิตวิทยาเชิงบวกช่วยจำกัด Downside ของตลาดหุ้นไทยได้บ้าง แนะจับตา (1) ประชุม กนง. 22 ธ.ค. น้ี คาดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% และ (2) การออกมาตรการกระตุ้นการใช้รถไฟฟ้าในช่วงปีหน้า คาดรัฐจะให้เงินสนับสนุนในการซื้อรถยนต์ EV ที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท 20% มองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มยานยนต์ (AH และ SAT) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (HANA และ KCE)

ขณะที่การท่ีตลาดหลักทรัพย์ส่งสัญญาณมีโอกาสที่กระทรวงการคลังจะกลับมาเก็บภาษีจากการขายหุ้นในอัตรา 0.1% ของมูลค่าซื้อขายที่มากกว่า 1 ล้านบาท/เดือน หลังได้ยกเว้นตั้งแต่ปี’34 หากปรับขึ้นจริง จะต้องเป็นการปรับข้ึนในระยะยาว คาดส่งผลกระทบต่อ (1) ปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างมีนัยยะ จำกัดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย อีกทั้งยังส่งผลให้นักลงทุนไทยมีแนวโน้มลงทุนต่างประเทศ และ Cryptocurrency มากขึ้น และ (2) ไทยเป็นประเทศต้องนำเข้าเงินทุนต่างชาติ ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติลดลง ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทยเช่นกัน

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนำวันนี้ “JWD”

แนวรับ 17.40 / 17.20 Target 19.00 / 20.00 Stop <16.90

- Advertisement -