WFX เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก ราคาพุ่งเหนือจอง 29.86% จากราคา IPO ที่ 7.20 บาทต่อหุ้น สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ด้านผู้บริหาร “ชวลิต ติยาเดชาชัย” มั่นใจในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ผลกรดำเนินงานยังคงโตต่อเนื่อง หลังเดินหน้าขยายกำลังการผลิต 35% รองรับออเดอร์ลูกค้า ตามแผนและกลยุทธ์ Growth Strategy เตรียมผงาดเบอร์หนึ่งผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดระดับโลก ขณะที่ FA มือทองจาก บล.เคทีบีเอสที มั่นใจ WFX จะเป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาว ชูจุดแข็งฐานะทางการเงินแกร่ง ความสามารถการทำกำไรสูง อนาคตสดใสจากแผนเพิ่มกำลังการผลิต หนุนธุรกิจโตติดปีก 

 

บริษัท  เวิลด์เฟล็กซ์  จำกัด (มหาชน) หรือ WFX ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดแฟชั่น เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 เป็นวันแรก ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปและสถาบันอย่างดีเยี่ยม โดยเปิดซื้อขายที่ 9.35 บาท เพิ่มขึ้น 2.15บาท หรือ 29.86 % จากราคา IPO ที่หุ้นละ 7.20 บาท

นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เวิลด์เฟล็กซ์ ” ระบุว่า ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ในฐานะผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ในโลกรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมสิ่งทอของโลกที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้การต้อนรับ WFX อย่างอบอุ่น ทีมงานและผู้บริหารของบริษัทพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเตรียมนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 12,400 ตันต่อปี แบ่งเป็นเฟส 1 กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 6,200 ตันต่อปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนกรกฎาคม 2565 และเฟส 2 กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 6,200 ตันต่อปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2566”

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสิ่งทอในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง MARKETLINE คาดการณ์มูลค่าตลาดสิ่งทอในประเทศจีนสำหรับปี 2563-68 ฟื้นตัวและมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 8.70% ต่อปี ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75% ของบริษัท ทั้งนี้ จากแผนเพิ่มกำลังการผลิต 12,400 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 35% จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 35,000 ตันต่อปี จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ WFX กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัท จากการขยายกำลังการผลิต และจากจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตยางขึ้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด และการที่มีบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ช่วยให้เข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตที่ลดลงจาก จาก Economies of Scale และการบริหารงานภายใต้กลยุทธ์ (Growth Strategy) ในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ทั่วโลก ทำให้มั่นใจว่า WFX พร้อมก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดระดับโลกภายใน 3 ปี ตามแผนงานที่วางไว้

ด้านนายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ WFX กล่าวว่า การเข้าเทรดในวันแรกของ WFX ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.12 เท่า และหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะลดลงเหลือประมาณ 0.35 เท่า

“เชื่อว่า WFX จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ที่มีอัตราการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ จากความสามารถทำกำไรที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด” นายรัฐชัย กล่าว

************

- Advertisement -