ECF เผยแนวโน้มธุรกิจปี 64 มั่นใจเติบโตตามเป้า หลังปรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ขยายสาขาเพิ่ม ตั้งเป้ามุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ผ่านบริษัทย่อย “โซเมว่า พลาซ่า” บนแพลทฟอร์มออนไลน์ พร้อมแตกไลน์ธุรกิจ ส่ง “อีซีเอฟโฮลดิ้งส์” ลุยธุรกิจเหมืองขุดสกุลเงินดิจิทัล พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อยเพิ่มสำหรับธุรกิจการเพาะปลูกและจัดจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัท

 

นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจปี 2564  คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ จากนโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งการขยายตลาดต่างประเทศ มีสัญญาณการเติบโตที่ดีจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่บริษัทขยายฐานการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปประเทศอินเดียและสหรัฐฯ ซึ่งมียอดคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 65% และในประเทศอยู่ที่ 35%

ขณะที่ตลาดในประเทศ มีการกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางจำหน่าย  อาทิ ร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศ พร้อมกับแผนการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้าหมายมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ โดยล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท บริษัท โซเมว่า พลาซ่า จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจออนไลน์แพลทฟอร์ม และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในไตรมาส 1/65  ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศ รวมถึงสร้างความหลากหลายของช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่เพิ่มเติมของบริษัทย่อย โดยอนุมัติให้บริษัท อีซีเอฟ โฮลดิ้งส์ จำกัด (ECFH) ในฐานะบริษัทย่อยที่ ECF ถือหุ้น 94.44 % เข้าลงทุนในธุรกิจใหม่เพิ่มเติม โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดสกุลเงินดิจิทัล

ดังนั้น นอกจากธุรกิจหลักที่ ECFH ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันคือ ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ให้กับบริษัทแล้ว จะทำให้มีธุรกิจใหม่เพิ่มเติมคือ ธุรกิจเหมืองขุดสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency mining) โดยมีมูลค่าการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ 80 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติพิจารณาอนุมัติการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยเพิ่มเติม 1 แห่ง เพื่อประกอบธุรกิจการเพาะปลูกและจัดจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร โดยพิจารณาประกอบกับมูลค่าการส่งออกพืชผักผลไม้ไทยไปต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยในรอบปี 2564 ที่ผ่านมา เติบโตกว่าร้อยละ 80 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเข้าดำเนินธุรกิจดังกล่าวของบริษัท

“คาดว่า การเข้าลงทุนในสองธุรกิจดังกล่าวเพิ่มเติม จะเป็นโอกาสที่จะสร้างแหล่งที่มาของรายได้ หนุนให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้นได้ในอนาคต โดยการบริหารงานจะคำนึงถึงการเติบโตอย่างมั่นคง และหาทางลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง เป็นสำคัญ” นายอารักษ์ กล่าว

********************

- Advertisement -