Daily View

เมื่อคืนที่ผ่านมา FED มีการเปิดเผยรายงานการประชมุประจำวันที่ 14–15 ธ.ค. (FED Minute) โดยระบุว่าตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ในภาวะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นคณะกรรมการจึงเห็นว่า FED ควรจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในเวลาที่รวดเร็ว หรือรวดเร็วกว่าที่คณะกรรมการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ภายหลังทราบผลประชุมพบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 2 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี New High ในรอบ 3 เดือน ส่วนความเห็นตลาดผ่าน Bloomberg Consensus พบว่านักลงทุนคาดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยในปี 22 ทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกจะอยู่ในเดือน พ.ค. 22 ครั้งสอง คาดจะอยู่ในเดือน ก.ค. 22 และครั้ง สามจะอยู่ในเดือน ธ.ค. 22 ขณะที่หลังทราบผลประชุมเมื่อคืน นักลงทุนปรับเพิ่มโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.จาก 63% ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาเป็น 76% บ่งชี้ถึงนักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นกับเรื่องของดอกเบี้ยนโยบาย  ดังนั้นจากนี้ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐใกล้ชิด โดยระยะใกล้นี้จะมีการรายงานภาคแรงงานในวันศุกร์ Bloomberg ประเมินที่ 4.26 แสนตำแหน่ง พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ 4.1% ตัวเลขที่จะทำให้ตลาดผ่อนคลายกับเงินเฟ้อ ควรจะต้องออกมาแล้วต่ำกว่าคาด หากสูงกว่าคาดจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ สำหรับช่วงที่ดอกเบี้ย FED เป็นแนวโน้มขาขึ้น หุ้น Outperform จะได้แก่ กลุ่ม Value Stock (Valuation ไม่แพง) อาทิ ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) ปัจจุบันกลุ่ม Bank ซื้อขายเพียง 0.7x Trailing PBV หรืออยู่ในกรอบ -1SD ด้านประเทศไทยวันนี้ สถานการณ์ COVID-19 กลับมาดูน่ากังวลอีกครั้ง หลังจากเช้านี้ ศบค.รายงานผู้ติดเชื้อที่ 5.7 พันราย นับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 1 เดือน แม้อาการ Omicron จะไม่ได้รุนแรง แต่หากยังระบาดในระดับสูง อาจ เป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเพิ่มความคุมเข้มของมาตรการ เสี่ยงต่อการปรับลดประมาณการทั้งกำไรและเศรษฐกิจ จากปัจจัยทั้งหมดในวันนี้ ค่อนไปในทิศทางลบ จึงประเมินว่า SET INDEX เสี่ยงจะอ่อนตัวในกรอบ 1660 – 1674 เชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะเพิ่มการถือครองเงินสดไว้บ้าง เนื่องจากมีหลายๆความเสี่ยงรออยู่ ประกอบกับดัชนียืนระดับสูง  โดยระยะสั้นเน้น Trading หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น และ Valuation ไม่แพง อาทิ ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) ได้ประโยชน์จาก COVID-19 โรงพยาบาล (BCH CHG)

Stock Pick

SCB (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 149 บาท) คาดกำไรสุทธิ 4Q21 โตแข็งแกร่ง 50% YoY เป็น 7.4 พันล้านบาท จากการตั้งสำรองหนี้ฯ ลดลง และรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิสูงขึ้น คาดกำไรลดลง 16% QoQ จากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้น

BCH (ถือ/ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท) Trading ระยะสั้น จากตัวเลขติดเชื้อในประเทศกลับมาแตะ 5.7 พันราย สูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ส่วนด้านพื้นฐานประเมินกำไร 4Q21 ที่ 1.5 พันล้านบาท (+430YoY) มีแรงหนุนจากรายได้ธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง และจากวัคซีนทางเลือก พร้อมคาดว่ากำไรปี 2022-23 จะมีแรงหนุนมาจากการกลับมาของจำนวนคนไข้ทั่วไป รวมถึงผู้ประกันตนโครงการประกันสังคมที่มากขึ้น และบริการด้านวัคซีน

- Advertisement -