Daily Focus Selective and Value Play

ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index ปรับตัวลงแรง 23.76 จุด ตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากทั้งความกังวลของนโยบายการเงิน FED ที่จะดึงตัวขึ้น รวมถึงสถานการณ์โอมิครอนในประเทศที่เร่งตัว กลุ่มที่ปรับลงแรง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยว รับเหมาฯ เป็นต้น 4.6 พันลบ. และสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นหนาแน่น 2.7 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Futures สูงถึง 4.2 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้:

เราคาด SET Index แกว่ง Sideways ในกรอบ 1,645-1,660 จุด หลังจากปรับลงแรงวานนี้ ทั้งแรงกดดันหลัง FED ส่งสัญญาณนโยบายการเงินตึงตัว โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องลดขนาดงบดุล รวมถึงสถานการณ์โอมิครอนในประเทศที่เริ่มเร่งตัวอย่างมีนัยยะ อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าอาจเห็นมาตรการควบคุมเป็นจุดๆ บางส่วน แต่ไม่ถึงขั้น Lockdown เหมือนกลางปีก่อน ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และ SET Index คาดว่าจะไม่รุนแรง กลยุทธ์จึงเน้นสะสมหุ้นในช่วงพักฐานลงใกล้ 1,600 จุด ส่วนระยะสั้นเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และกลุ่ม Value Play มี PER ไม่สูง ส่วนกลุ่มพลังงานคาดหนุนตลาดตามราคาน้ำมันดิบที่พุ่ง

กลยุทธ์: เลือกลงทุนโดยเน้นหุ้น Value และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : CK, EA, HMPRO, KBANK, ORI

หุ้นเด่นวันนี้: SC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท
  • ระยะสั้นคาดกำไร 4Q21 เร่งขึ้นทั้ง +30% Q-Q, +50% Y-Y และเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีจาก Backlog 5.2 พันลบ. และคาดทั้งปีรายได้ทะลุเป้าที่ 1.9 หมื่นลบ. เราคาดกําไรปี 2021 +9% Y-Y
  • ปี 2022 จะเป็นปีที่ดีจากการเริ่มรับรู้คอนโดใหม่ 3 แห่ง และแผนเปิดโครงการเชิงรุกรวม 2 หมื่นลบ. เราคาดกำไรปี 2022 +10% Y-Y จุดเด่นคือ Valuation ถูก โดยเทรด PER และ PBV ต่ำเพียง 6 เท่า และ 0.7 เท่าและจ่ายปันผลปีละครั้ง Yield 6%
  • แนวรับ 3.40-3.36 บาท แนวต้าน 3.48-3.50 // 3.60-3.70 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาค US$ 330 ล้าน หลังรายงานการกระชุม FED สะท้อนนโยบายการเงินที่จะตึงตัวขึ้น เม็ดเงินไหลออกนำโดยไต้หวัน US$ 325 ล้าน ส่วนอาเซียนผสมผสาน โดยไหลออก นำโดยไทย US$ 82 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนวันนี้คาดยังผสมผสานโดยยังคงไร้ปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้นตลาด ยังจับตาสถานการณ์โอมิครอน รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศหลักที่จะประกาศในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) กลุ่มเรือตู้คอนเทนเนอร์ เรามีมุมมองเชิงบวกจากค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์ยังทำ New High ต่อเนื่อง ต่างจากค่าระวางเรือเทกองที่ชะลอตัว โดยยังมีภาวะ Supply Shock และมาตรการ COVID Zero ของจีนที่ทำให้การขนส่งตามท่าเรือต่างๆไม่คล่องตัว ทำให้แนวโน้มกำไร 4Q21-1Q22 คาดยังแข็งแกร่ง และยังมีลุ้นทำ New High  หากการแพร่ระบาดของโอมิครอนยังไม่คลี่คลาย อย่างไรก็ตาม เรามองว่าในระยะถัดไปมีโอกาสที่ตู้คอนเทนเนอร์อาจล้นตลาดในปี 2023 ราคาหุ้น RCL SONIC LEO มีโอกาสขยับขึ้นต่อ แต่แนะนำเพียง “เก็งกำไร” ตามค่าระวาง

(+) BCH การระบาดของโอมิครอนในประเทศทำให้การตรวจเชื้อ RT-PCR เดือน ม.ค. ของ BCH ปรับขึ้นเป็นวันละ 3-8 พันตัวอย่าง เพิ่มจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 1-2 พันเคส ขณะที่ปัจจุบันเริ่มเห็น Hospitel บางแห่งเต็ม Capacity โดยปัจจุบัน BCH มีเตียงรองรับผู้ป่วยราว 1 หมื่นเตียง (Hospital 1 พัน Hospitel 9 พัน) ซึ่งทำให้ประมาณการกำไรปี 2022 มี Upside จากปัจจุบันที่คาด 1.8-2 พันลบ. แม้ด้านราคาหุ้นเรามองเป็นไปได้ยากที่จะแตะ High เดิมที่ 26.25 บาท. ในระยะสั้น แต่เราคาดว่าระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นหาระดับ 22-24 บาท (อิง PER 30-32 เท่า) ยังคงราคาเป้าหมาย 28.50 บาท แนะนำ “ซื้อ” (Source: FSSIA)

(0) PTG ระยะสั้นคาดกำไร 4Q21-1Q22 ถูกกดดันจากการตรึงราคาน้ำมันของภาครัฐ ทําให้ค่าการตลาดแคบลงจาก 1.7 บาทต่อลิตรใน 3Q21 เหลือ 1.5-1.6 บาทต่อลิตรใน 4Q21 อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวใน 4Q22 เป็นต้นไป และได้อานิสงส์จาก 3 ปัจจัย ทั้งราคาน้ำมันดิบที่คาดอ่อนตัวความต้องการไบโอดีเซลที่ดีขึ้น และธุรกิจ Non Oil โดยเฉพาะกาแฟที่ฟื้นตัว เราคาดกำไรปี 2021 -15% Y-Y ก่อนฟื้นตัว +17% Y-Y ในปี 2022 ยังคงราคาเป้าหมาย 18.30 บาท แนะนำ “ซื้อลงทุน” (Source: FSSIA)

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 170.64 จุด หรือ 0.47% ปิดที่ 36,236.47 จุด จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด กดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี บรรเทาจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมัน WTI

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ กดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย

(+) ตลาดเอเชีย ปรับขึ้นจากแรงซื้อหลังปรับลงแรงในวันก่อนหน้า

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้น ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 79.46 ดอลลาร์/บาร์เรล จากปัญหาความไม่สงบในคาซัคสถาน รวมถึงมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในลิเบียลดลงมากกว่า 500,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากมีการปิดบ่อน้ำมันหลายแห่ง และปิดซ่อมบำรุงท่อส่งน้ำมัน โดยเจ้าหน้าที่ลิเบียคาดว่าการผลิตน้ำมันอาจจะลดลงอีก 200,000 บาร์เรล/วันในสัปดาห์นี้

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 35.9 ดอลลาร์หรือ 1.97% ปิดที่ 1,789.2 ดอลลาร์/ออนซ์จากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 978.82 / -1.17

- Advertisement -