บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

SUPALAI ยุคทองของการโอนเพิ่งเริ่มต้น

Action

BUY (Maintain)

TP upside (downside) 14.3%

Close Jan 06, 2022 Price (THB) 22.10

12M Target (THB) 25.25

Previous Target (THB) 24.80

What’s new?

  • คาดเบื้องต้นกำไรปกติ 4Q64 อยู่ที่ระดับ 1.7-1.8 พันลบ. หนุนจากการโอน Backlog ที่หนาแน่น
  • แนวโน้ม Presale ปี 2564 มีโอกาสพลาดเป้าหมายของบริษัทที่ 2.7 หมื่นลบ. จากการเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 5-6 โครงการไปยังปี 2565 แต่คาดไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ
  • แนวโน้มผลประกอบการปี 2565 คาดเติบโต 7.4%YoY และเป็นจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทที่ 6.2 พันลบ.

Our View

  • คงประมาณการกำไรปี 2564/65 ที่ 5.8 พันลบ. และ 6.2  พันลบ. ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เราคาดประมาณการปี 2564 /65 ของเรายังมี Upside risk จากการคลาย Lockdown และการปลดล็อคมาตรการ LTV ของ ธปท. ในช่วงต้น 4Q64 ที่ผ่านมา
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 25.25 บาท/หุ้น
  • คาดเงินปันผลงวด 2H64 ที่ 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.7% ช่วยจำกัด Downside risk ในระยะสั้น

แนวโน้มผลประกอบการ 4Q64 ยังแข็งแกร่งจาก Backlog รอโอนที่หนาแน่น

เราคาดยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 4Q64 จะเป็นจุดสูงสุดของปีที่ราว 1.0 หมื่นลบ. (เติบโตขึ้นราว 35% QoQ และ 25% YoY) หนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) Backlog รอรับรู้เป็นรายได้ในช่วง 4Q64 มีมูลค่าสูงถึง 9.8 พันลบ. แบ่งเป็นสัดส่วนแนวราบและแนวสูงที่ 50:50 (Backlog โครงการแนวสูงส่วนใหญ่มาจากโครงการที่แล้วเสร็จในช่วง 2Q-3Q64 ได้แก่ Supalai Premier Charoen Nakorn, Supalai Veranda Phasi Charoen Station และ Supalai Riva Grande รวมมูลค่า 1.4 หมื่นลบ. ณ สิ้น 3Q64 มียอดขายรวมแล้ว 83%) และ 2) การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และการผ่อนปรนมาตรการ LTV ในช่วงต้น 4Q64 ที่ผ่านมา คาดส่งผลบวกต่อการระบาย Inventory ที่ฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะ QoQ จากช่วง 3Q64 ที่มีมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ทั้งนี้ หากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 4Q64 ใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ คาดกำไรปกติ 4Q64 จะอยู่ที่ระดับ 1.7-1.8 พันลบ. คิดเป็น Upside risk ต่อประมาณการกำไรทั้งปี 2564 ของเราที่ 5.8 พันลบ. ที่ 2.3-4.0%

Presale ปี 2564 มีโอกาสพลาดเป้าจากการเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล

บริษัทรายงานยอด Presale 9M64 ที่ 1.8 หมื่นลบ. หรือคิดเป็น 65% ของเป้าหมาย Presale ทั้งปี 2564 ของ บริษัทที่ 2.7 หมื่นลบ. และเดิมมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 4Q64 ที่สูงถึง 1.6 หมื่นลบ. (แบ่งเป็นแนวราบ 8 โครงการ รวมมูลค่า 1.0 หมื่นลบ. และแนวสูง 4 โครงการ รวมมูลค่า 5.8 พันลบ.) อย่างไรก็ดี เราคาดบริษัทจะมีการเลื่อนเปิดตัวโครงการแนวราบราว 3-4 โครงการ (เบื้องต้นคาดมูลค่าราว 4.0-5.0 พันลบ.) และโครงการแนวสูงจำนวน 2 โครงการ รวมมูลค่าราว 4.0 พันลบ. ไปยังช่วงต้นปี 2565 เป็นผลให้เราคาดมีแนวโน้มสูงที่ยอดขายในปี 2564 จะต่ำกว่าเป้าหมายราว 15-20% ทั้งนี้เราคาดการเลื่อนเปิดตัวโครงการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการปี 2565 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงการแนวราบส่วนใหญ่ยังสามารถเปิดการขายและรับรู้รายได้ในช่วง 1H65

ผลประกอบการปี 2565 ดูสดใส จากคอนโดที่จะแล้วเสร็จกว่า 7 โครงการ

เราคาดผลประกอบการปี 2565 จะเติบโตขึ้น 7.4% เป็น 6.2 พันลบ. และเป็นจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท จาก 1) ณ สิ้น 3Q64 บริษัทมี Backlog ที่คาดจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2565 ที่ 1.4 หมื่นลบ. จากโครงการแนวสูงที่คาดจะแล้วเสร็จพร้อมโอนกว่า 7 โครงการ โดยมี Highlight คือ Supalai Veranda Ramkamhaeng (มูลค่า 6.1 พันลบ. มียอดขายแล้ว 86%) และ Supalai Veranda Sukhumvit 117 (มูลค่า 2.8 พันลบ. มียอดขายแล้ว 58%) เป็นต้น 2) การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และสถานการณ์ COVID-19 ที่คาดฟื้นตัวขึ้นจากปี 2564 คาดส่งผลบวกต่อยอดเยี่ยมชมโครงการและยอดขาย และ 3) เราคาด SPALI เป็นผู้ประกอบการที่จะได้รับผลประโยชน์จากการปลดล็อกมาตรการ LTV มากที่สุดในกลุ่ม จากการที่ปัจจุบันมีสินค้าประเภท Available-for-sale สูงถึง 7.9 หมื่นลบ. (แบ่งเป็นแนวราบถึง 4.5 หมื่นลบ.)

คงคำแนะนำเป็น “ซื้อ” พร้อม Rollover ราคาเหมาะสมไปยังสิ้นปี 2565 ที่ 25.25 บาท/หุ้น

เราคงประมาณการกำไรปกติปี 2564/65 ที่ 5.8 พันลบ. และ 6.2 พันลบ. ตามลำดับ ทั้งนี้เราคาดประมาณการ 2564 ของเรายังมี Upside risk ที่ระดับ 2.3-4.0% จากแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 4Q64 ที่หนาแน่น ขณะที่ผลประกอบการปี 2565 คาดมี Upside risk ราว 5.0% +/- จากการปลดล็อกมาตรการ LTV ที่ยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อม Rollover ราคาเหมาะสมไปยังสิ้นปี 2565 ที่ 25.25 บาท/หุ้น (อิง PER เท่าเดิมที่ 8.7x เทียบเท่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท ) พร้อมคาดเงินปันผลงวด 2H64 ที่ 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.7% ช่วยจำกัด Downside risk ในระยะสั้น

ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่

1) ความเสี่ยงต่อยอด Cancellation และความล่าช้าในการโอน Backlog โครงการแนวสูง

2) การแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าคาดการณ์ของตลาดแนวราบในปี 2565

3) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ และ

4) อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น

- Advertisement -