บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

THAI OIL กำไรสุทธิสูงสุดของปี

Action

BUY (Maintain)

TP upside (downside) +24.4%

Close Jan 13, 2022 Price (THB) 52.25

12M Target (THB) 65.00

Previous Target (THB) 65.00

What’s new?

  • คาดกำไรสุทธิ 4Q64 ท่ี 4.6 พันล้านบาท ลดลง -37% YoY จากฐานสูงเพราะรายการพิเศษ แต่ +123% QoQ และเป็นจุดสูงสุดของปี หนุนจากกำไรสต็อกน้ำมันและกำไร FX ขณะที่กำไรปกติคาดทำได้ 1.7 พันล้านบาท (+36% QoQ พลิกจากขาดทุน YoY) หนุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่น และอัตราการผลิตหลังผ่อนคลายการควบคุม ซึ่งสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายและ Margin ของปิโตรเคมี – น้ำมันหล่อลื่นได้ท้ังหมด

Our View

  • แนวโน้มกำไรปกติ 1Q65 ทรงตัว QoQ คาด Margin อะโรมาติกส์ที่เร่ิมฟื้นตัว และค่าใช้จ่ายลดลงจะช่วย ชดเชยต้นทุนน้ำมันท่ีสูงขึ้นได้ คงประมาณการปี 2565 ท่ี 9.3 พันล้านบาท คาด 1H65 จะเป็นช่วงท่ีดีของธุรกิจท้ังค่าการกลั่น และอัตราการผลิต
  • ราคาหุ้นยัง Laggard คู่แข่ง และ PBV มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยเกือบ -2.0 SD ถือว่า Downside จำกัด ระยะ ยาวมีการเติบโตจากโครงการ CFP (COD ปี 2566) และการขยายกำลังผลิตปิโตรเคมี CAP (FID ปี 2565)

คาดกำไรสุทธิ 4Q64 เติบโตสูงเป็นจุดสูงสุดของปี

สําหรับ 4Q64 แม้คาดว่าอัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมีและน้ำมันหล่อลื่นจะลดลง QoQ กดดันด้วยอุปทานในตลาดที่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงานมักสูงขึ้นช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม เราคาดผลการดำเนินงานหลักจะทำได้ 1.7 พันล้านบาท เติบโต +36% QoQ และพลิกจากขาดทุน YoY ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) กิจกรรมเดินทางในประเทศฟื้นตัว หลังผ่อนปรนมาตรการควบคุม ทำให้ประเมินอัตราการกลั่นที่ 108% (+16%QoQ, +7%YoY) สูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดปี 2563 2) ค่าการกลั่นปรับขึ้นเป็น US$5.1/bbl (+219%QoQ, +325%YoY) สูงสุดในตั้งแต่ 1Q61 จากความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นตามการเปิดเมือง และอุปสงค์การใช้น้ำมันทดแทนก๊าซธรรมชาติที่ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปชนิดหลัก เช่น น้ำมันเบนซิน, น้ำมันดีเซล, น้ำมันอากาศยาน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ช่วยชดเชยต้นทุนน้ำมัน Crude premium ท่ีสูงขึ้น และอัตรากำไรของอ่ะโรมาติกส์ และน้ำมันหล่อลื่นได้ เราประเมินอัตรากำไรธุรกิจหลัก Market GIM ที่ US$6.9/bbl (+25%QoQ, +92%YoY) นอกจากนี้ 3) การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกมาเฉลี่ยที่ US$77.9/bbl (+9%QoQ, +75%YoY) ทำให้คาดว่าจะมีกำไรสต๊อกน้ำมันรวม NRV2.5 พันล้านบาท และ 4) คาดกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 3 ร้อยล้านบาท จากเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ 4Q64 คาดกำไรสุทธิทําได้ 4.6 พันล้านบาท เติบโต +123%QoQ แต่ -37%YoY เพราะเป็นช่วงที่มีกําไรพิเศษจากจําหน่ายหุ้น GPSC

ทิศทางธุรกิจโรงกลั่นแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ 1H65

หาก 4Q64 เป็นไปตามคาด คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564 จะมี Upside จากรายการพิเศษและกำไรสต๊อกน้ำมัน 24% สำหรับแนวโน้ม 1Q65 เราประเมินเบื้องต้นผลการดำเนินงานปกติจะประคองตัว QoQ เชื่อว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงตามฤดูกาลและการฟื้นตัวของ Margin อะโรมาติกส์ จากการลดอัตราการผลิตของโรงงานในภูมิภาคจะสามารถชดเชยต้นทุนน้ำมัน (Crudepremium) ที่สูงขึ้นได้ ส่วนภาพรวมปี 2565 คาดกำไรปกติจะธุรกิจโรงกลั่นจะฟื้นตัว โดยเฉพาะ 1H65 หนุนจากกิจกรรมการเดินทางในประเทศ หลังสถานการณ์ Covid-19 ทยอยคลายตัวและการส่งออกน้ำมันจากจีนท่ีจำกัด คงประมาณการกําไรปกติ 9.3 พันล้านบาท (+47% YoY)

มูลค่ามีส่วนลด…ระยะยาวมีปัจจัยการเติบโตรองรับ

แม้ TOP จะมีปัจจัยถ่วงจะงบการเงินตึงตัว และการเพิ่มทุนเพื่อปรับโครง สร้างภายหลังการลงทุนใน CAP (คาดได้ข้อสรุปภายใน 1H65) อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่กลางปี 2564 ที่มีข่าวการเพิ่มทุน ราคาหุ้น -4% เทียบกับโรงกลั่นคู่แข่ง (SPRC BCP) ที่ +9% เรามองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ท่ี 0.8 เท่า มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยเกือบ -2.0SD ต่ำกว่าคู่แข่งที่ซื้อขายระดับ 0.9 – 1.4 เท่า นอกจากนี้ ระยะยาว TOP ยังมีการเติบโตจากโครงการ CFP ขยายกำลังกลั่นจาก 275 KBD เป็น 400KBD (คาด COD ปี 2566) และการขยายกำลังผลิตปิโตรเคมีใน CAP ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา คาด FID ภายในปี 2565 จากเหตุผลข้างต้น เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ท่ี 65.00 บาท (บริษัทฯ จะรายงานผลประกอบการวันที่ 15 ก.พ.)

- Advertisement -