บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

KCE Electronics (KCE.BK / KCE TB)* สนับสนุนจากกลุ่มยานยนต์

Event

ประมาณการ 4Q64, ปรับประมาณการเต็มปีและราคาเป้าหมาย

Impact

ประมาณการ 4Q64: กำไรจากธุรกิจหลักจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ

เราคาดกำไรจากธุรกิจหลักใน 4Q64F จะอยู่ที่ 730 ล้านบาท (+102% YoY, +21% QoQ) จากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพราะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 600,000 ตารางฟุต/เดือน (ทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านตารางฟุต/เดือน) รวมถึงได้แรงส่งจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง ด้วยส่งผลให้กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2564F อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท (+128% YoY) เราคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 131 ล้านดอลลาร์ฯ (+17% YoY, +14% QoQ) ซึ่งจะทำให้ยอดขายในปี 2564F อยู่ที่ 473 ล้านดอลลาร์ฯ (+27% YoY) ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 29.5% (+5.3ppts YoY, +2.4ppts QoQ) เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลง และราคาทองแดงมีเสถียรภาพมากขึ้น (ราคาทองแดงเฉลี่ยใน 4Q64 อยู่ที่ US$ 9,600/ton จาก US$ 9,400/ton ใน 3Q64) ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564F อยู่ที่ 27.8% (+6ppts YoY)

แนวโน้มปี 2565: เกาะกระแสโลกด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

เนื่องจาก 70% ของรายได้รวมของ KCE เกี่ยวข้องกับกลุ่มยานยนต์ และ 50% ของรายได้รวมมาจากยุโรป (หนึ่งในสองตลาดหลักของ EVs ซึ่งมีอัตราการใช้งาน EV อยู่ที่ 14.7% ใน 3Q64 ซึ่งสูงกว่าอัตราการใช้ EV ทั่วโลกที่ 9.2%) เราเชื่อว่า KCE มีศักยภาพที่จะเกาะตามกระแส megatrend โดย KGI Taiwan ประเมินว่ายอดขาย EV ทั่วโลกจะถึง 20 ล้านคันในปี 2568F ซึ่งจะทำให้อัตราการใช้รถ EV เพิ่มขึ้นเป็น 21% โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 45% CAGR (ปี 2563-2568) เนื่องจาก i) ตลาดหลักยังคงได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการบังคับใช้เกณฑ์การปล่อยมลพิษอย่างเข้มงวด ii) มีการปรับปรุงรุ่นรถ EV และมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ EV เพิ่มขึ้น และ iii) มี EV วางจำหน่ายหลายรุ่นในราคาที่เอื้อมถึง เรามองว่า KCE มีการเตรียมตัวอย่างดี โดยเพิ่มกำลังการผลิตอีก 600,000 ตารางฟุตใน 4Q64 และจะเพิ่มอีก 700,000 ตารางฟุตใน 3Q65-4Q65 ดังนั้นเราจึงคาดว่ายอดขายของบริษัทน่าจะโตได้ 15% ต่อปีในปี 2565-2566 ซึ่งจะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด และหนุนให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงคาดว่ากำไรของ KCE จะโต 41% YoY ในปี 2565F และ 18% ในปี 2566F

Valuation & action

เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 เป็น 120 บาท จากเดิม 93 บาท โดยอิงจาก PER ที่ 44.0x (คิดเป็น PEG ที่ 1.1X จากอัตราการเติบโตของ EPS ปี 2565) ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ดี และราคาปิดล่าสุดยังเหลือ upside ถึงราคาเป้าหมายของเราอีกถึง 46% ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ฯ )

- Advertisement -