NUSA ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจ ก้าวสู่ “โฮลดิ้ง คอมพานี” ลุยจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมารับผิดชอบในการดำเนินงานแต่ละกลุ่มธุรกิจมีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน พร้อมมีแผน Spin-off ดันบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เตรียมขายแลนด์แบงค์ในธุรกิจอสังหาฯ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท รวมทั้งหุ้นใน “เลเจนด์ สยาม” เพื่อนำเงินมาลงทุนต่อยอดในธุรกิจที่มีศักยภาพ สร้างกำไรในอัตราสูง จ่อรับรู้รายได้กว่า 1,300 ล้านบาทภายในไตรมาส 2/65 ตอกย้ำความพร้อมลงทุนในธุรกิจกัญชงครบวงจร ด้วยการสร้างโรงงานสกัดสาร CBD คาดเสร็จสิ้น พร้อมได้รับใบอนุญาตในกุมภาพันธ์นี้ พร้อมผนึกพันธมิตรนานาชาติ อาทิ เยอรมัน อเมริกา ญี่ปุ่น และจีน พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย
นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เปิดเผยว่า ในโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปี บริษัทเตรียมปรับโครงสร้างเป็น โฮลดิ้ง คอมพานี (Holding Company) ภายในปี 2565 นี้ โดยจะทรานส์ฟอร์มมุ่งเน้นธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างกำไรของบริษัทในอัตราสูง ประกอบด้วย ธุรกิจเวลเนส ( Wellness ธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรม (Agriculture-Industry) ธุรกิจพลังงาน (Energy) ธุรกิจเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม (Technology & Platform) และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ที่สนับสนุนธุรกิจเวลเนสได้อย่างมีศักยภาพ
ทั้งนี้ บริษัทจะทยอยจำหน่ายแลนด์แบงค์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาทออกไปภายในปีนี้ โดยปัจจุบันได้พิจารณาขายหุ้นในเลเจนด์ สยาม พัทยา ออกไปบางส่วน และในเบื้องต้นคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1,300 ล้านบาท ที่สามารถรับรู้รายได้เข้ามาภายในไตรมาส 2/65 นี้ และจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจ Medical Technology เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและบริการทางการแพทย์ครบวงจร
พร้อมกันนี้ บริษัทยังตั้งใจพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่องานวิจัยและเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของคนไทย ในชื่อ “หมอฮัลโหล” (MORHELLO) เป็นแพลตฟอร์มเพื่อสุขภาพและการแพทย์ที่ผู้บริโภคจะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ IT หลากหลาย
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ทุ่มศึกษา ค้นคว้าและวิจัยมากว่า 5 ปี โดยร่วมลงทุนกับนักลงทุนชาวจีนในการทดลองปลูกพืชกัญชงหลากหลายสายพันธุ์ จนได้สายพันธุ์ที่สามารถให้สารสกัด CBD ในปริมาณสูง ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ธุรกิจกัญชงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยปัจจุบันบริษัทได้มีใบอนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธ์กัญชงสายพันธุ์คุณภาพ ใบอนุญาตปลูกพืชกัญชงบนพื้นที่กว่า 60 ไร่ และอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตโรงงานสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชง โดยคาดว่าจะสามารถสกัดสารและจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ได้ภายในปี 2565 นี้
“บริษัทเริ่มศึกษาและมองหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพอย่างจริงจังทั้ง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และเยอรมัน ตั้งแต่ปี 2562 รวมถึงได้ศึกษาและทดลองปลูกพืชกัญชงตั้งแต่ปี 2563 เพื่อหาสายพันธุ์ที่ให้สาร CBD ในปริมาณสูง ปัจจุบันบริษัทได้รับใบอนุญาตปลูกพืชกัญชงกว่า 60 ไร่ รวมถึงได้ก่อสร้างอาคารและนำเข้าเครื่องสกัดเข้ามาเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะติดตั้ง ควบคู่กับการยื่นขอใบอนุญาตโรงงานสกัดสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คาดว่าจะได้รับภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้”
นอกจากนี้ ยังได้ปรับให้ เลเจนด์ สยาม พัทยา เป็นเมืองมหัศจรรย์กัญชา โดยสถานที่นี้จะเป็นแหล่งผลิต โดยเริ่มจากการปลูกจากเมล็ดพันธุ์ตลอดจนถึงสกัดและพัฒนาผลิตภัณฑ์และจำหน่าย จัดสร้างพิพิธภัณฑ์กัญชา ให้ที่นี่เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้และแหล่งช้อปปิ้งผลิตภัณฑ์กัญชงกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยเรื่องนี้ไม่ได้แค่เริ่ม แต่ได้ซุ่มดำเนินการ รวมถึงการหาตลาดไว้ทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว
สำหรับการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ WEH ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน (PP) ของบริษัทนั้น เนื่องจากบริษัทมีความสนใจในธุรกิจพลังงานอย่างจริงจัง โดยได้เรียนเชิญผู้มีคุณวุฒิและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัทถึง 2 ท่านคือ คุณมานพ ถนอมกิตติ ประธานกรรมการตรวจสอบ บริษัท อาร์ เอส เอส 2016 จำกัด และคุณไพไรจน์ ศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ เอส เอส 2016 จำกัด ทั้งนี้ บริษัทมีความสนใจธุรกิจที่มี P/E สูง ซึ่งธุรกิจพลังงานเป็น 1 ในธุรกิจที่ตอบโจทย์ดังกล่าว และ WEH ก็เป็นบริษัทที่มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่แล้ว การเข้าซื้อหุ้น WEH เข้ามาในครั้งนี้ก็สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที
ด้านนางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) และ กรรมการบริหาร บริษัท เวิล์ด เมดิคอล อัลไลแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด (WMA) กล่าวว่า ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทได้ศึกษาแนวทางการดำเนินธุรกิจเวลเนส บริษัทมีรายได้จากธุรกิจเวลเนสนี้ประมาณ 800 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน ส่งผลให้บริษัทได้รับความสนใจ ติดต่อขอทราบกลยุทธ์ และแนวทางการพัฒนาธุรกิจจากผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กว่า 7-8 ราย และตัดสินใจทยอยเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/64 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในปี 2565 นี้จึงตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจเวลเนส ประมาณ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.5% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว โดยจะเป็นรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ 100% โดยมีพันธมิตรจากเยอรมันเป็นผู้วิจัยและพัฒนาสูตรต่าง ๆ และมีการจำหน่าย ATK เพื่อคนไทยในราคามิตรภาพ
“ในปี 2565 นี้ บริษัทจะยังมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 51% ของรายได้รวมทั้งปี เนื่องจากบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากการขายทรัพย์สินในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และนำเงินเข้าลงทุนในธุรกิจที่มี P/E สูงกว่า เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และจะมีสัดส่วนสูงกว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายในปี 2566 เป็นต้นไป จากนั้นก็จะย้ายหมวดการดำเนินธุรกิจ”
สำหรับการดำเนินงานแต่ละกลุ่มธุรกิจ จะจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมารับผิดชอบ มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยมีแผนที่จะนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Spin-off) ดังนั้น คาดว่าจะปรับโครงสร้างภายในองค์กรเสร็จประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ จากนั้นจะเดินสายโรดโชว์อย่างเป็นทางการ เพื่อตอกย้ำศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัท รายได้ที่จะเข้ามาจากกลุ่มธุรกิจ องค์ความรู้ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของพันธมิตรที่สร้างการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลก และช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์ม ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ทั่วโลก
***********