บล.ทรีนีตี้:
คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด– CGH
การเติบโตแบบ S-Curve ตอบโจทย์ทุก Lifestyle
- เพิ่มมูลค่าธุรกิจหลักทรัพย์โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตก้าวกระโดด และเพิ่ม Synergy ให้แก่กลุ่ม โดยยังคงโครงสร้างบริษัทในลักษณะ Holding
- สัดส่วนรายได้:
1. ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 74%
2. รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6%
3. รายได้ดอกเบี้ยมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 8%
4. กำไรส่วนแบ่งจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดย CGH มีการรับรู้กำไรส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมที่ 449 ล้านบาท จาก MFC ที่ถือหุ้นอยู่ 24.96% และ BEYOND ที่ถือหุ้นอยู่ 39.12%
- การเพิ่มฐานลูกค้าของกลุ่มหลักทรัพย์จากการ Rebranding เป็น PI Securities ที่ Transform จากการเป็น Traditional Brokerage เป็น Lifestyle Brokerage
- การฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ส่งผลให้มีอัตราเข้าพักที่สูงขึ้น และรายได้จากกลุ่ม F&B ที่กลับมาให้บริการ Dine In อีกครั้ง
- กองทุนจาก MFC ตอบโจทย์ Lifestyle ของนักลงทุนรุ่นใหม่ และการเพิ่มขึ้นของขนาดสินทรัพย์ที่ลงทุน
- หลังจากการ Transform ธุรกิจจากกลุ่ม Traditional เป็นให้บริการแบบ Lifestyle คาดว่าราคาจะเทรด P/BV ที่ 2.0-3.0X ส่งผลให้ราคาอยู่ที่ 2.0-3.0 บาท โดยในปัจจุบันยังเทรดที่ 1.2X
ความน่าสนใจในการลงทุน
1. CGH เน้นการลงทุนที่จะเสริมการเติบโตของรายได้และกำไรแบบยั่งยืน และเป็นการลงทุนที่จะส่งผลให้เกิด Synergy ในกลุ่ม ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่โดดเด่น
2. การ Rebrand ของ Country Group Securities (CGS) เป็น P Securities จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าจากการเพิ่มบริการที่คลอบคลุม Asset Class มากขึ้น และรายได้จากกลุ่มค่านายหน้าจะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ PI ยังพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเปิดตลาดใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ Lifestyle ของนักลงทุนที่เปลี่ยนไป โดยเริ่มการลงทุนกับ Cryptomind ที่ให้บริการปรึกษาและบริการด้าน Digital Asset และมีแผนการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต
3. การฟื้นตัวของกลุ่มท่องเที่ยว ส่งผลให้ผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบัน CGH มีการถือหุ้น BEYOND ที่ 39.12% ทั้งนี้คาดว่า BEYOND จะทำการซื้อหุ้นอีก 25% ของโครงการ Four Seasons และ Capella ส่งผลให้ BEYOND ถือหุ้นครบ 100% และยังมีแผนการที่จะเปิดโรงแรมเพิ่มเป็นโรงแรมใจกลางเมืองที่สาทร ทั้งนี้ การปลด Lockdown และลดระดับความเข้มงวดของมาตรการต่างๆ ส่งผลให้มีการจองห้อง Function Room ที่สูงขึ้น และกลุ่ม F&B สามารถกลับมาให้บริการได้
การเติบโตของรายได้จะมาจากการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่และการลงทุน
หลังจากที่ CGS ได้ทำการ Rebranding เป็น PI Securities จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าที่ครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ และความต้องการที่หลากหลายจากการเป็น Super App ที่มีบริการ Asset Class ที่เพิ่มมากขึ้น และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ในขณะที่การฟื้นตัวของกลุ่มท่องเที่ยวจะหนุนอัตราการเข้าพักของโรงแรมในกลุ่ม และการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ของการท่องเที่ยวในประเทศจากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ใน Pipeline ที่จะเพิ่มความหลากหลายของห้องพัก
ศักยภาพในการเติบโตของรายได้และกำไรสูง และยังเทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม
ปัจจุบัน CGH เทรดที่ P/E 10.6X และ P/BV ที่ 1.2X และหากเปรียบเทียบกับ P/E ของกลุ่ม Digital Asset และ Exchange ที่ให้บริการมากกว่า Traditional product เทรดอยู่ที่ P/E 25-30X และ P/BV ที่ 5.5-150X (อ้างอิงจาก COINBASE, CME และ ROBINHOOD) ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์เทรดในตลาดอยู่ที่ P/E 8.5-16X และ P/BV เทรดอยู่ที่ 1.6-2X
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว, การระบาดของ COVID-19 ที่ยาวนาน, การแข่งขันของโรงแรมในประเทศ, การลดราคาค่านายหน้า
ลักษณะธุรกิจ:
บริษัทประกอบธุรกิจด้านการลงทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเน้นการลงทุนระยะยาวในธุรกิจหลากหลายประเภท โดยที่มีบริษัทในเครือ ได้แก่
- บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน): CGS เป็นบริษัทนายหน้าหลักทรัพย์ครบวงจรระดับแนวหน้าของไทย โดย CGH ถือหุ้น 99.31% ทาง CGS ได้ทำการ Rebrand เป็น “บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน)” โดยมีชื่อย่อว่า “PI” “พาย” โดยมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจโดยรวม และสร้างผลิตภัณฑ์และรวบรวมนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีทางการเงินจากทั่วโลก
- บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) “MFC”: ให้บริการกองทุนต่างๆโดย CGH ถือหุ้น 24.96%
- บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) “BEYOND”: ลงทุนในธุรกิจโรงแรมและบริการ โดยโฟกัสที่โรงแรมระดับ Upscale จนถึง Ultra-luxury โดย CGH ถือหุ้น 39.12%
- บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด: ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาให้บริการครบวงจรสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสกุลดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซี โดย CGH ถือหุ้น 25%
โครงสร้างรายได้
สัดส่วนรายได้ในช่วง 9M64:
- ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ และค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 74% ของรายได้รวม
- รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่มาจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ปรึกษาทางการลงทุน การจัดการทรัพย์สินของลูกค้า ที่ปรึกษาทางการเงินการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6% ของรายได้รวม
- รายได้ดอกเบี้ยมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 8% ของรายได้รวม
- รายได้อื่นๆ ได้แก่ กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินและอื่นๆ มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 12% ของรายได้รวม
- กำไรส่วนแบ่งจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม โดย CGH มีการรับรู้กำไรส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมที่ 449 ล้านบาทจาก MFC ที่ถือหุ้นอยู่ 24.96% และ BEYOND ที่ถือหุ้นอยู่ 39.12%
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
ในปี 2561-2563 บริษัทมีรายได้รวม 567 ล้านบาท 1.05 พันล้านบาท และ 1.32 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยที่สัดส่วนรายได้กว่า 50% มาจากรายได้กลุ่มค่านายหน้า โดยที่มีอัตราเติบโตเฉลี่ย CAGR 52.52% ในขณะที่กำไรสุทธิปี 2561-2563 อยู่ที่ขาดทุน 35 ล้านบาท และพลิกเป็นกำไร 84 ล้านบาท และ 143 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับงวด 9M64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1.38 พันล้านบาท และกำไรสุทธิใน 9M64 อยู่ที่ 620 ล้านบาท โดยที่รายได้จากกลุ่มค่านายหน้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กำไรส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 449 ล้านบาท จากการบันทึกกำไรพิเศษของ BEYOND ส่งผลให้ใน 9M64 BEYOND มีกำไรสุทธิที่ 347 ล้านบาท
ความน่าสนใจของบริษัท
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทสามารถเพิ่มรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และกำไรมีการเติบโตที่โดดเด่นจากบริษัทร่วมอย่าง MFC และ BEYOND ทั้งนี้ การเติบโตในอนาคตส่งผลให้ CGH มีความน่าสนใจในการลงทุน ดังนี้
- การ Rebrand ของ CGS เป็น PI Securities ที่จะมาช่วยเพิ่มฐานลูกค้าจากการเพิ่มบริการที่ครอบคลุม Asset Class มากขึ้น และรายได้จากกลุ่มค่านายหน้าจะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ PI ยังพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเปิดตลาดใหม่ๆที่ตอบโจทย์ Lifestyle ของนักลงทุนที่เปลี่ยนไป โดยเริ่มการลงทุนกับ Cryptomind ที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์การลงทุน และบริการที่เกี่ยวข้องกับ Digital Asset
- กองทุนจากกลุ่ม MFC ที่หลากหลาย และตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นใหม่ โดยเป็นกลุ่มกองทุนที่มีขนาดสินทรัพย์การลงทุนมูลค่า 4.23 แสนล้านบาท
- การฟื้นตัวของกลุ่มท่องเที่ยวส่งผลให้ผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบัน CGH มีการถือหุ้น BEYOND ที่ 39.12% ทั้งนี้คาดว่า BEYOND จะทำการซื้อหุ้นอีก 25% ของโครงการ Four Seasons และ Capella ส่งผลให้ BEYOND ถือหุ้นครบ 100% และยังมีแผนการที่จะเปิดโรงแรมเพิ่มเป็น โรงแรมใจกลางเมืองที่สาทร คาดว่าจะพร้อมให้บริการในปี 2567 และยังมีโครงการใน Pipeline อีก 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษา
ประเมินมูลค่าพื้นฐาน
ปัจจุบัน CGH เทรดอยู่ที่ P/E 10.6X และ P/BV ที่ 1.2X โดยการเติบโตของกำไรในอนาคต จะส่งผลให้ P/E ปรับตัวลดลง และหากเปรียบเทียบกับ P/E ของหุ้นกลุ่ม Digital Asset และ Exchange ที่ให้บริการมากกว่า Traditional product เทรดอยู่ที่ P/E 25-30X และเทรดที่ P/BV ที่ 5.5-150X (อ้างอิงจาก COINBASE, CME และ ROBINHOOD) ในขณะที่หลักทรัพย์เทรดในตลาดอยู่ที่ P/E 8.5-16X และ P/BV เทรดอยู่ที่ 1.6-2X
ปัจจัยเสี่ยง
- การแข่งขันด้านราคาของค่านายหน้า
- ความเสี่ยงจากการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
- การระบาดของ COVID-19 และมาตรการต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ