บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

Action

TRADING (Downgrade)

TP upside (downside) -1.5%

Close Feb 10, 2022 Price (THB) 33.75

12M Target (THB) 33.25

Previous Target (THB) 56.50

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 4Q64 ที่ 254 ลบ. (-55.6%QQ, -50.8%YoY) ทําระดับต่ำสุดในรอบ 12 ไตรมาส จาก GPM ที่ถูกกดดันหลังราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้น +22-26% QoQ ตามทิศทางราคานํามันโลก
  • 1Q65 คาดกำไรปกติที่ราว 300-350 ลบ. ฟื้นตัว QoQ ตามฤดูกาล รวมถึงได้รับส่วนแบ่งกำไรจาก JV กับ UV แบบเต็มไตรมาส แต่คาดกำไรปกติลดลง YoY จาก GPM ที่ยังถูกกดดันจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นอีกจาก 4Q64

Our View

  • จากราคาก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับสูงเรา จึงปรับสมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติปี 2564-65 เป็น 273 บาท/ล้าน BTU และ 375 บาท/ล้าน BTU ตามลำดับ ส่งผลให้ประมาณการปี 2564-65 ลงเป็น 2,483 ลบ. (+14.2% YoY) และ 1,300 ล บ . (−4 7.7 % YoY) ตามลำดับ
  • ผลจากการปรับประมาณการทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลดลงเป็น 33.25 บาท เราจึงลดคำแนะนำ ลงเป็น “Trading” ทั้งนี้ราคาปัจจุบันยังมี Downside Risk จึงยังไม่ใช่จังหวะเข้าลงทุน และสำหรับผู้ที่มีสถานะแนะนําลดนําหนักการลงทุน

B.GRIMM POWER ยังไม่มีอะไรชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้

คาดกำไร 4Q64 ต่ำสุดในรอบ 12 ไตรมาส

คาดรายได้ที่ 12,768 ลบ. (+9.0%QoQ, +22.4%YoY) รายได้จาก EGAT เพิ่มขึ้น QoQ จากการปิดซ่อม บำรุงตามแผนใน 3Q64 และราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้ขายไฟให้ EGAT เพิ่มขึ้น รายได้จาก IU ทรงตัว QoQ ราคาก๊าซธรรมชาติสูงเป็นประวัติการณ์ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ราว 330 – 340 บาท/ล้านBTU เพิ่มขึ้น 22 – 26%QoQ และเพิ่มขึ้น 51 – 55%YoY กดดัน GPM คาดว่าจะลงมาอยู่ที่ 13.2% จาก 18.2% ใน 3Q64 และ 21.7% ใน 4Q63 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดที่ 442 ลบ. ลดลงกว่าทุกปีที่จะอยู่ที่ระดับ 600 ลบ. ในไตรมาส 4 จากการควบคุมค่าใช้จ่าย คาดมีส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมราว 10 ลบ. จากค่าใช้จ่ายในการที่บริษัท JV ที่ทำกับ UV เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 360MW ซึ่งยังไม่มีรายได้ใน 4Q64 นี้ ดอกเบี้ยจ่ายคาดที่ 859 ลบ. ลดลง 30%QoQ จากรายการทางบัญชีจากโรงไฟฟ้าในเวียดนามที่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงใน 3Q64 มากลับรายการบางส่วนใน 4Q64 คาดกำไรปกติที่ 254 ลบ. (-55.6%QoQ, -50.8%YoY) ทำระดับต่ำสุดในรอบ 12 ไตรมาส

ดีลใหม่ยังไม่ใหญ่พอที่จะกลบราคาก๊าซที่พุ่งขึ้นได้

เราคาดกำไรปกติ 1Q65 ที่ 300 – 350 ลบ. ฟื้นตัว QoQ จากฤดูกาลในเวียดนามที่มีปริมาณฝนน้อยลงจากไตรมาส 4 และเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก JV ที่ทำกับ UV เข้ามาเต็มไตรมาสราว 35 – 40 ลบ. แต่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติจะยังกดดันธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ คาด GPM ยังทรงตัวจาก 4Q64 กดดันกำไรลดลงราว 50%YoY ขณะที่การ M&A ที่ใกล้ได้ข้อสรุป ปัจจุบันมีเพียงโครงการในมาเลเซียขนาด 88MW ซึ่ง BGRIM ถือหุ้นในสัดส่วน 40.6% คาดว่าจะทำการ M&A แล้วเสร็จใน 1Q65 และเริ่มรับรู้รายได้ใน 2Q65 เป็นต้นไป และอีก 90MW คาดว่าจะ M&A แล้วเสร็จภายใน 3Q65 จะยังไม่นัยยะมากนัก สำหรับกำไรปี 2565 ซึ่งยังไม่มากพอที่จะช่วยชดเชยกำไรที่ลดลงจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติในปี 2565 ที่คาดว่าจะสูงถึง 370 – 400 บาท/ล้านBTU โดยบริษัทจะเริ่มนำเข้าก๊าซ LNG ได้ในปี 2566 เป็นต้นไป ทำให้ในปี 2565 ต้องใช้วิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เราประเมินเบื้องต้นว่าบริษัทต้องมีกำลังการผลิตใหม่ราว 700 – 1,000MWe เพื่อให้กำไรปี 2565 กลับมาเติบโตได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก ทำให้กำไรปี 2565 คาดว่าจะหดตัว

ปรับประมาณาการลง ลดคำแนะนำเป็น TRADING

เราคงประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายทุกรายการ แต่ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติขึ้น โดยปรับราคาก๊าซธรรมชาติในปี 2564 ขึ้น 1.1% เป็น 273 บาท/ล้านBTU ส่งผลให้กำไรปกติลดลง 5.5% เป็น 2,483 ลบ. (+14.2%YoY) และปรับราคาก๊าซธรรมชาติปี 2565 ขึ้น 38.9% เป็น 375 บาท/ล้านBTU ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2565 ลดลง 70.3% เป็น 1,300 ลบ. (-47.7%YoY) ส่งผลให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ลดลงเป็น 33.25 บาท จึงลดคำแนะนำลงเป็น TRADING มองว่าราคาปัจจุบันยังมี Downside risk จึงยังไม่ใช่จังหวะในการเข้าลงทุน สำหรับผู้มีสถานะแนะนำลดน้ำหนักการลงทุน จนกว่าจะเริ่มเห็นราคาก๊าซธรรมชาติกลับมาที่ระดับ 300 บาท/ล้านBTU +/-

- Advertisement -