บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

Action

BUY (Maintain)

TP upside (downside) +38.5%

Close Feb 17, 2022 Price (THB) 13.00

12M Target (THB) 18.00

Previous Target (THB) 18.30

What’s new?

  • BCPG รายงานกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 238 ลบ. และหากหักรายการพิเศษออก กำไรปกติ 4Q64 อยู่ที่ 583 ลบ. ลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่เติบโต YoY จากการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า Solar ในไทย , การ COD โรงไฟฟ้า Chiba 1 และส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Geothermal ที่สูงขึ้น YoY
  • บริษัทฯประกาศขายหุ้นโรงไฟฟ้า Geothermal มูลค่า 1.45 หมื่นลบ. คาดได้รับกำไรพิเศษราว 2.2 พันลบ. เบื้องต้นบริษัทฯได้มีแผนลงทุนในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในลาว เพื่อชดเชยกระแสเงินสดที่ขาดหายไป จากธุรกรรมดังกล่าว

Our View

  • ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นเป็น 2,256 ล้านบาท จากการรวมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันไว้ในประมาณการ อย่างไรก็ตาม Adder ที่เริ่มหมดลง และกระแสเงินสดที่หายไปจากการขายโรงไฟฟ้า Geothermal จะเป็นประเด็นกดดันผลประกอบการในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
  • ปรับราคาเหมาะสมเป็น 18.00 บาท อิง DCF (WACC 5.0%, T.G. 0%) มี Upside +38.5% คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยคาด BCPG จะมีการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มเติมเพื่อชดเชยกระแสเงินสดที่ขาดหายไป และขยาย Portfolio ตามแผนการลงทุน 5 ปีของบริษัทฯ คาดจะมีการทำ M&A อย่างน้อย 1 ดีลใน 1H65

BCPG กําไรปกติ 4Q64 ดีกว่าคาดมาก

กำไรสุทธิลดลง QoQ และ YoY จากรายการพิเศษแต่กำไรปกติดีกว่าคาด

BCPG รายงานกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 238 ล้านบาท (-65% QoQ, -24% YoY) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก รายการพิเศษ เช่น รายการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ย นและค่าที่ปรึกษาในการลงทุนสายส่งไฟฟ้าราว 345 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากหักรายการพิเศษออกกำไรปกติ 4Q64 จะอยู่ที่ 583 ล้านบาท (-18% QoQ, +9% YoY) ดีกว่าที่เราคาดราว 25% (GPM ดีกว่าคาด และส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Geothermal ในอินโดนีเซียสูงกว่าคาด) โดยการลดลง QoQ เป็นผลมาจากการออกจากช่วง High Season ของโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทย ในขณะที่การเติบโต YoY เป็นผลมาจาก 1) การ COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Chiba 1 2) การปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย และค่าความเข้มแสงที่ดีขึ้น ส่งผลให้ค่า Capacity Factor อยู่ในระดับ 16.8% เทียบกับ 15.5% ใน 4Q63 และ 3) ส่วนแบ่งรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า Geothermal ที่ 147 ล้าน บาทเทียบกับ 97 ล้านบาทใน 4Q63 ดังนั้นกำไรปกติและกำไรสุทธิปี 2564 จึงอยู่ที่ 2,284 ล้านบาท (+17% YoY) และ 2,011 ล้านบาท (+5% YoY) ตามลำดับ

ประกาศขายหุ้นโรงไฟฟ้า Geothermal ในอินโดนีเซีย

BCPG แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่าบริษัทฯจะขายหุ้นบริษัท Star Energy Group Holdings (ถือหุ้นโรงไฟฟ้า Geothermal ในอินโดนีเซีย) ให้กับบริษัทฯ Springhead Holdings เป็นจำนวน 440 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ (ราว 1.45 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯได้รับกำไรพิเศษราว 2.2 พันล้านบาท (อิงมูลค่าทางบัญชีที่ 123 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2564) คาดเสร็จสิ้นภายใน 1H65 อย่างไรก็ตาม การขาย Asset ดังกล่าวจะส่งผลให้กำไรของบริษัทฯลดลงราว 450-550 ล้านบาท/ปี แต่สามรถชดเชยผลกระทบได้บางส่วนจากการลงทุนในบริษัท LHSE (รัฐวิสาหกิจลาวซึ่งทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าและจ่ายไฟให้กับ EGAT) เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3.2 พันล้านบาท) โดยบริษัทฯให้ Guidance ว่าการลงทุนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนราว 11% ต่อปี คิดเป็นรายได้ราว 350-400 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ (การลงทุนต้องได้รับการอนุมัติจากสภาแห่งชาติลาวก่อน) คาดมีความชัดเจนใน 2H65

ปรับประมาณการเพื่อสะท้อนการลงทุนในไต้หวันและการขาย Asset ในอินโดฯ

ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้น 2% เป็น 2,256 ล้านบาท (-1% YoY) จากการรวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงาน แสงอาทิตย์ไว้ในประมาณการ (COD ใน 4Q65 จำนวน 21MW) แต่ผลประกอบการยังคงลดลงเล็กน้อย YoY โดยได้รับผลจาก Adder ที่เริ่มหมดลง และการขายโรงไฟฟ้า Geothermal ในช่วง 1H65 คาดผลประกอบการปี 2566 ที่ 1,477 ล้านบาท (-36% YoY) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ในกรณีที่ไม่มีการลงทุนในโครงการอื่นเพิ่มเติม) แม้มีการ COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันเพิ่มราว 141MW แต่ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากการขายโรงไฟฟ้า Geothermal และ Adder ที่หมดอายุลงได้ ทั้งนี้เราได้มีการปรับราคาเหมาะสมเพื่อสะท้อนผลกระทบจากประเด็นดังกล่าว โดยเราปรับมาใช้ WACC ที่ (ผลจาก Cost of Debt ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.9% จากเดิม 2.8% และการปรับ Debt-to-Asset ratio ให้เป็น 60% 5.0% เพื่อให้ใกล้เคียงสถานะทางการเงินในช่วง 4 ปีล่าสุด) ได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 18.00 บาท/หุ้น (อิง DCF) มี Upside +38.5% คงคำแนะนำ “ซื้อ” และมี Upside เพิ่มเติมได้จากการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ เพื่อชดเชยกระแสเงินสดที่ขาดหายไป และเพื่อขยาย Portfolio ตามแผนการลงทุนจำนวน 9.5 หมื่นล้านบาทระหว่างปี 2565-2569 โดยคาดจะมีการทำ M&A อย่างน้อย 1 ดีลภายใน 1H65

- Advertisement -