SVI โชว์ฟอร์มสุดฮอต ทำผลงานปี 64 มีรายได้รวม 17,400 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ขยายตัว เพิ่มขึ้น 13.9% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,408 ล้านบาท โต 105% หนุนกำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มเป็น 0.65 บาท พร้อมเคาะจ่ายเงินปันผล 0.23 บาทต่อหุ้น ด้านแผนงานปี 65 ตั้งเป้ารายได้ 24,000 ล้านบาท รับแผนเชิงกลยุทธ์มุ่งขยายกำลังการผลิตป้อนความต้องการลูกค้า  

 

นายกริช ลี้ถาวร ผู้บริหารด้านการเงิน บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 บริษัทมีรายได้รวม 5,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% และทำกำไรสุทธิ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 463% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำกับ ซึ่งเป็นการเติบโตก้าวกระโดด และช่วยผลักดันผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 ของ SVI สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัท โดยทำรายได้รวมสูงถึง 17,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% และมีกำไรสุทธิ 1,408 ล้านบาท เติบโตถึง 105% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานทั้งปี 2563 ที่มีรายได้รวม 15,282 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686 ล้านบาท

“ความสำเร็จของการดำเนินงานครั้งนี้ มาจากแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของ SVI ที่มุ่งขยายตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในอุตสาหกรรม 5G เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G หรือ Optical transceiver กล้องวงจรปิดที่รองรับเทคโนโลยีAI ป้ายราคาอัจฉริยะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะและขนส่งสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งความต้องการในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเติบโตสูงมากในตลาดโลก ส่งผลให้ SVI มียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน SVI ยังบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนในการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเจรจาปรับราคาสินค้ากับคู่ค้าได้ ทำให้อัตรากำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มเป็น 8.1% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.5% และมีอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพิ่มเป็น 0.65 บาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนอยู่ที่ 0.30 บาทต่อหุ้น”

จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตรา 0.23 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 495 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้

สำหรับการดำเนินงานปี 2565 ตั้งเป้าเติบโตรายได้ 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยมีแผนการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่ต้องการให้ฐานการผลิตในกัมพูชาและไทย เป็นฐานการผลิตสินค้าที่มีวอลุ่มสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ป้อนความต้องการในภาคอุตสาหกรรม 5G รองรับแผนขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐฯ เพิ่มเติม จึงลงทุนเพิ่มพื้นที่ฐานการผลิตที่โรงงานประเทศกัมพูชาเป็น 35,000 ตารางเมตร จากเดิมที่มี 10,000 ตารางเมตร ขณะที่ฐานการผลิตที่ประเทศสโลวาเกีย จะเพิ่มพื้นที่การผลิตเป็น 11,000 ตารางเมตร จากเดิม 6,500 ตารางเมตร รองรับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะในภาคพื้นยุโรป

ขณะเดียวกัน ยังมุ่งบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขาดแคลนชิปอิเล็กทรอนิคส์ที่เป็นแรงกดดันอุตสาหกรรมฯ และคาดว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิปอิเล็กทรอนิคส์ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตและเริ่มทยอยเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์อย่างเต็มกำลังในครึ่งหลังปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเพิ่มความสามารถการทำกำไรที่ดีให้แก่บริษัท

*****

- Advertisement -