TPLAS เปิดผลการดำเนินงานปี 64 กำไรแตะ 33.91 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 511.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.85% จากปีก่อน ผลจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์บรรจุอาหารเพิ่มขึ้น ควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลตอบรับจากบรรจุภัณฑ์กระดาษมีสัญญาณที่ดี ขณะที่บอร์ดใจดีอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 อัตรา 0.10 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายเงินวันที่ 6 พ.ค. 65 นี้ ฟากผู้บริหาร “อภิรัตน์ ธีระรุจินนท์” ระบุปี 65 วางกลยุทธ์เร่งพัฒนาปรับขนาดผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับผู้บริโภค ช่วยกระตุ้นยอดขาย สร้างรายได้เพิ่มผลักดันการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
นายอภิรัตน์ ธีระรุจินนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวดปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 33.91 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 511.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 473.88 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนผลประกอบการ เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์บรรจุอาหารยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและการใช้บริการเดลิเวอรี่คึกคักส่งผลให้ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทฯ มีประสิทธิภาพควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ตลอดจนได้มีการผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภท จาน ถ้วย และถาด เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และมีผลตอบรับที่ดีมากขึ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 21 เม.ย. 65 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พ.ค. 65 ทั้งนี้สิทธิในการได้รับเงินปันผลดังกล่าว ยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565
“สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังมีทิศทางการเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้ จะมาจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ใส่อาหารยังคงได้รับอานิสงส์จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันบริษัทฯ จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาต่อเนื่อง โดยจะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์กระดาษ ซึ่งมีการเพิ่มเติมรูปแบบ เช่น ถาดใส่ขนมหวาน ถ้วยไซส์อื่นๆ เป็นการเพิ่มไซส์ให้มีความหลากหลายต่อการนำไปใช้งานได้มากขึ้น โดยจะทยอยออกมา และคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี รวมทั้งจะมีการพัฒนาระบบรับคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มาใช้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าช่วยสนับสนุนยอดขายให้เติบโตได้ต่อเนื่องจากปีก่อน “นายอภิรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่สำคัญยังคงเน้นการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูงและมีความมั่นคง โดยเฉพาะการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบที่มีความผันผวนด้านราคาสูงตามราคาตลาดโลก ทั้งน้ำมัน และเม็ดพลาสติก ซึ่งปีที่ผ่านมาก็สามารถควบคุมได้ดี รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณเครื่องจักรใหม่ แต่ต้องพิจารณาสถานการณ์และความเหมาะสมอีกครั้ง