JMT ประกาศงบปี 64 กำไรเติบโตสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้ง อยู่ที่กว่า 1,400 ล้านบาท โต 34% มีอัตรากำไรขั้นต้นสุดหรูที่ 71.5% ส่วนรายได้อยู่ที่ 3,625 ล้านบาท ย้ำผู้นำธุรกิจบริหารหนี้ที่มีผลการดำเนินงานติดลมบน เป็นผลจากยอดจัดเก็บพุ่ง ตัดต้นทุนหนี้ก้อนโต พร้อมซื้อหนี้เข้ามาเติมพอร์ตอย่างมีคุณภาพ หนุนสิ้นปี 64 พอร์ตบริหารหนี้อยู่ที่ 238,213 ล้านบาท มองปี 65 พร้อมทะยาน วางงบลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหาร 10,000 ล้านบาท ก้าวสู่เบอร์ 1 AMC ด้านบอร์ดไฟเขียวปันผลงวดครึ่งปีหลังอีก 0.42 บาท/หุ้น รวมทั้งปีจ่ายปันผล 0.82 บาท/หุ้น
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2564 (สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2564) ทุบสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่ 6 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,400.4 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 34% มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,624.9 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 13.6% สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ และเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 71.5% และอัตรากำไรสุทธิ 38.6%
โดยในปี 2564 ใช้งบลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันจำนวน 8,516 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้าที่ใช้งบไปเพียง 3,500 ล้านบาท สนับสนุนพอร์ตหนี้ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 238,213 ล้านบาท ส่วนยอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) ทำได้ดี อยู่ที่ 4,590 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 24% สนับสนุนภาพรวมกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่อง นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ยังคงแพร่ระบาดต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา JMT ได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้า และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ขับเคลื่อน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเป็น Key Driver สร้างการเติบโตระยะยาว ย้ำผู้นำธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันอันดับ 1 ของประเทศ
ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.42 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 20 เมษายน 2565 นี้ และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดครึ่งปีแรก 2564 ไปเรียบร้อยแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท ส่งผลให้ทั้งปี 2564 บริษัทฯ จะจ่ายปันผลรวมอัตราหุ้นละ 0.82 บาท เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทด้วยดีเสมอมา
สำหรับปี 2565 วางกำไรสุทธิเติบโต 45% ถือเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา JMT วางเป้าหมายการเติบโตแบบ Conservative ไว้ที่ 30% และทำได้ดีกว่าคาด เนื่องจากพอร์ตหนี้ที่ซื้อเข้ามาในปี 2564 มีฐานที่ใหญ่ขึ้น จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้กลับเข้ามาในปีนี้เป็นต้นไป พร้อมวางงบลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านบาท เป็นปัจจัยผลักดันให้ JMT เติบโตต่อไปในปีหน้าไม่มีหยุด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ JMT ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทลูกของธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คาดกระบวนการจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 2/2565 และเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง