TMI หวังธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพบูมปั้นรายได้เพิ่ม ทำกำไรสูงสุดในรอบ 5 ปี ระบุสัดส่วนรายได้หลักยังมาจากธุรกิจส่องสว่าง อยู่ที่ 80% ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพ 20% พร้อมลุยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 10 รายการ ดันเป้าเติบโต 20% แต่ภายใน 2-3 ปีนับจากนี้ ส่วนรายได้ของธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% ทั้งสามารถทำกำไรได้มากกว่าธุรกิจส่องสว่างสูงถึงกว่า 25-30% ด้านแผนงานปีนี้ ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 20%
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือTMI เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพ และธุรกิจส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโตอยู่ที่ 20% ตามเป้าที่วางไว้ โดยความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าชีวภาพแห่งที่ 3 ขนาดกำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ ที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ล่าสุดคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือนเมษายน 2565
ดังนั้น หลังจากที่โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องผลิตได้ตามแผน ทั้งแห่งใหม่ดังกล่าว รวมถึงอีก 2 แห่งเดิมคือ โรงไฟฟ้าชีวภาพ อ.บ้านแพ้ว สมุทรสาคร และโรงไฟฟ้าชีวภาพ จ.ชุมพร โดยทั้ง 3 โรงมีกำลังการผลิตรวม 5.4 เมกะวัตต์ จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ รวมถึงกำไรก็จะกลับมาทำสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 5 ปีที่เคยทำกำไรได้ 35-36 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเข้าพอร์ตเพิ่มอีก 3-8 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย โดยจะเลือกทำเลรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เหมาะสมในการทำโรงไฟฟ้าชีวภาพเป็นหลัก ซึ่งการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าหากเริ่มต้นกำลังการผลิตที่ 3 เมกะวัตต์ จะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาท พื้นที่ในการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 29 ไร่ขึ้นไป แต่หากเป็นขนาด 8 เมกะวัตต์ ก็จะใช้เงินลงทุนที่สูงขึ้นตามดับ และพื้นที่ในการก่อสร้างจะไม่ต่ำกว่า 80 ไร่
ทั้งนี้ นอกจากธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพจะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้และกำไรปี 2565 ให้ปรับตัวดีขึ้นแล้ว อีกหนึ่งธุรกิจหลักอาทิ ธุรกิจส่องสว่าง ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกทำตลาดอย่างต่อเนื่องเ ด้วยการเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวนกว่า 10 รายการในกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่างในบ้าน (Lighting) และโซล่า เซลล์ ที่ใช้ตามบ้าน รองรับกลุ่มที่เป็นโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดว่าช่วงปลายปี 2565 จะกลับมาเปิดให้บริการและเปิดโครงการมากขึ้น จากคาดการณ์สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่อนคลายลง
“ธุรกิจส่องสว่างเริ่มเห็นการเติบโตที่ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 โดยช่องทางขายสินค้าหลักอย่างศูนย์การค้า ยังสามารถเปิดให้บริการ แม้มีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนที่รุนแรง ดังนั้น เชื่อว่าปี 2565 นี้ ธุรกิจส่องสว่างของเราจะยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้ธุรกิจที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้สูงขึ้น แต่สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทยังมาจากธุรกิจส่องสว่าง อยู่ที่ 80%, ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวภาพ สัดส่วน 20% แต่ภายใน 2-3 ปีนับจากปี 2565 สัดส่วนรายได้ของธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% แต่หากเทียบตัวกำไรแล้ว ธุรกิจไฟฟ้าชีวภาพก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าธุรกิจส่องสว่างสูงถึงกว่า 25-30%
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 484.27 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปี 2563 เนื่องจากบริษัทมีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดหลายรายการ และลูกค้าตอบรับสินค้ากลุ่มใหม่เป็นอย่างดี เป็นต้น
*********