บล.โกลเบล็ก:
BUSINESS ALIGNMENT PLC. (BIZ)
ปรับเพิ่มกำไรปี 65 จากงานประมูลหนุน
- รายงานกำไร 4Q64 ที่ 25 ลบ. ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ และหดตัว 88%QoQ (3Q64 มีการส่งมอบงานใหญ่มูลค่า 1 พันลบ.) แต่เติบโต 7%YoY
- ปี 65 งบประมาณสาธารณสุขลดลง 2%YoY สู่ 1.18 แสนลบ.
- คาดธุรกิจโรงพยาบาลเริ่มสร้างกําไรในปี 65
- คาดย้ายเข้า SET ภายในปี 65
- ปรับเพิ่มประมาณการปี 65 จาก Backlog ที่ทรงตัวในระดับสูงและอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อีก 1.5 พันลบ.
- คงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสู่ 9.47 บาท
ประเด็นสําคัญในการลงทุน:
- รายงานกำไร 4Q64 ที่ 25 ลบ. ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ และหดตัว 88%QoQ (3Q64 มี การส่งมอบงานใหญ่มูลค่า 1 พันลบ.) แต่เติบโต 7%YoY : งวด 4Q64 บริษัทมีรายได้ 337 ลบ. หดตัว 76%QoQ แต่ทรงตัว YoY เนื่องจากในไตรมาสนี้ไม่มีการส่งมอบเครื่องฉายรังสีขนาดใหญ่เหมือนใน 3Q64 มีเพียงรายได้จากการส่งมอบเครื่องฉายรังสีปกติราว 240 ลบ. แต่รายได้จากการบริการและรายได้จากโรงพยาบาลเติบโตต่อเนื่องสู่ 76.7 ลบ. และ 19.2 ลบ. เติบโต 30% และ 3% ตามลำดับ ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 0.5% จาก 3Q64 สู่ 20.5% ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวขึ้น 57%QoQ จาก 20.7 ลบ.สู่ 31.9 ลบ. หาก คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.5% สู่ 13.3% เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้น และมีค่าที่ปรึกษาทางด้านการเงินและกฎหมาย ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิใน 4Q64 ที่ 25 ลบ. หดตัว 88% QoQ (3Q64 มีการส่งมอบงานใหญ่มูลค่า 1 พันลบ.) แต่เติบโต 7%YoY ทั้งนี้รายงานกำไรปี 64 อยู่ที่ 420 ลบ. เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ YoY ที่มีกำไรเพียง 44 ลบ. และทำจุดสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เนื่องจากมีการส่งมอบงานใหญ่มูลค่า 1 พันลบ.
- ปี 65 งบประมาณสาธารณสุขลดลง 2% YoY สู่ 1.18 แสนลบ. : รัฐบาลได้ปรับลดงบประมาณกระทรวงสาธารณสุขปี 65 ลงจากปี 64 ราว 2% สู่ 118,415 ลบ. โดยปรับลดงบของกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติลง 11% 12% 12% และ 7% ตามลำดับ เหลือ 7.8 พันลบ. 3.5 พันลบ. 1.2 พันลบ. และ 1.3 พันลบ. ตามลำดับ แม้ว่างบประมาณสาธารณสุขจะลดลงจากปี 64 แต่ทางบริษัทอยู่ระหว่างการประมูลงานส่งมอบเครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งเพิ่มราว 1.5 พันลบ. และมี Backlog ณ วันที่ 1 มีนาคม 65 ราว 1.16 พันลบ.
- คาดธุรกิจโรงพยาบาลเริ่มสร้างกำไรในปี 65 : โรงพยาบาล CAH มีรายได้ 4Q64 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 19.2 ลบ. และมีรายได้ปี 64 ที่ 75 ลบ. เติบโต 142%YoY โดยปี 64 มีผลขาดทุนลดลงเหลือ 5.2 ลบ. ลดลงจากปี 63 ที่มีผลขาดทุน 42 ลบ. ทั้งนี้ เราคาดว่าปี 65 ธุรกิจโรงพยาบาลจะเริ่มสร้างกำไรเนื่องจากมีการเพิ่มบริการ “กัญชาทางการแพทย์” เพื่อใช้รักษาควบคู่กับการฉายรังสี อีกทั้งมีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจำนวน 40 ล้านหน่วย อายุ 1 ปี ราคาใช้สิทธิ์ 7 บาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินราว 280 ลบ. ภายในต้น 4Q65 ซึ่งบริษัทจะนำเงินดังกล่าวไปชำระคืนเงินกู้ของโรงพยาบาล CAH ซึ่งมีอยู่ราว 240 ลบ. และเงินทุนที่เหลือจะใช้ในการขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการแพทย์ ส่งผลให้ผลประกอบการโรงพยาบาล CAH จะเริ่มกลับมาเป็นบวกในปี 65
- คาดย้ายเข้า SET ภายในปี 65 : บริษัทประกาศจ่ายปันผลเป็นหุ้น (2 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นใหม่) เพื่อให้ทุนจดทะเบียนและจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 200 ลบ. และ 400 ล้านหุ้นสู่ 300 ลบ. และ 600 ล้านหุ้น ตามลำดับ (XD ในวันที่ 21 เม.ย. 65) ส่งผลให้บริษัทผ่านเกณฑ์เข้าจดทะเบียนใน SET ทั้ง 4 ข้อ 1) ทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 300 ลบ. 2) พาร์มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 บาทต่อหุ้น 3) กำไรรวม 4 ไตรมาสล่าสุดมากกว่า 50 ลบ. และ 4) จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่า 1,000 ราย ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะยื่นคุณสมบัติเพื่อให้ SET พิจารณาภายใน 2Q65 และคาดว่าจะย้ายจากตลาด MAI สู่ SET ภายในปี 3Q65
- ปรับเพิ่มประมาณการปี 65 จาก Backlog ที่ทรงตัวในระดับสูง และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อีก 1.5 พันลบ. : เราปรับประมาณการรายได้ปี 65 เพิ่มขึ้นจาก 1.13 พันลบ. สู่ 1.88 พันลบ. (เพิ่ม 66% จากประมาณการเดิม) ลดลง 36% จากปี 64 แม้ว่างบประมาณสาธารณสุขปี 65 จะลดลงจากปี 64 แต่จากมูลค่า Backlog ณ 1 มีนาคม 65 อยู่ที่ 1.16 พันลบ. ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบในปี 65 ราว 735 ลบ. และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อีกราว 1.5 พันลบ. ซึ่งเราคาดว่าจะได้งานราว 800 ลบ. หรือคิดเป็น 53% ซึ่งเป็นไปตามหลักระมัดระวัง (ต่ำกว่าสถิติการประมูลงานในอดีตที่ 70%) โดยคาดว่างานที่ประมูลได้จะบันทึกเป็นรายได้ในปี 65 ทั้งนี้เราปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 21% สู่ 20% เพื่อให้สอดคล้องกับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 63-64 เราจึงปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นจาก 117 ลบ. สู่ 212 ลบ. เพิ่มขึ้น 81% แต่ลดลง จากปี 64 ราว 50% เนื่องจากไม่มีการส่งมอบงานใหญ่เหมือนปี 64
- คงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสู่ 9.47 บาท : เราประเมินมูลค่าด้วยวิธี SOTP ได้ราคาเหมาะสมธุรกิจติดตั้งเครื่องฉายรังสีเพิ่มขึ้นจาก 8.67 บาทเป็น 9.14 บาท โดยคำนวณ P/E ratio เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีที่ 22 เท่า และมีการปรับเพิ่มประมาณการปี 65 และประเมินราคาเหมาะสมโรงพยาบาลมะเร็งอีก 0.33 บาท/หุ้น (อิง PBV 1 เท่า ซึ่งเป็นไปตามหลักระมัดระวัง ทั้งนี้ บริษัทถือหุ้นโรงพยาบาลฯ 65%) ได้ราคาเหมาะสมใหม่เท่ากับ 9.47 บาท (เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 9.00 บาท) ทั้งนี้ ราคาเหมาะสมดังกล่าวคํานวณจากจํานวนหุ้น 510 ล้านหุ้น ซึ่งใช้วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจำนวนหุ้นแต่ละไตรมาส โดยได้รวมผลกระทบจากการปันผลเป็นหุ้น 200 ล้านหุ้น และการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ 40 ล้านหน่วยแล้ว และคาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยปี 65 ที่ 3.4% ต่อปี (สูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของ MAI ที่ 1.2%) อย่างไร ก็ตาม ปี 65 มีความเสี่ยงที่รายได้และกำไรจะปรับตัวลง เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ”