บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +17.3%

Close Mar 10, 2022 Price (THB) 16.20

12M Target (THB) 19.00

Previous Target (THB) 21.30

What’s new?

  • คาดราคาถ่านหินจีนจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง QoQ เนื่องจากสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้มีการนำเข้าถ่านหินจากรัสเซียน้อยลง และจะเป็นประเด็นกดดันการฟื้นตัวของกำไรปกติใน 1Q65
  • ปรับประมาณการปี 2565 ลงเป็น 3,983 ล้านบาท จากการปรับสมมติฐานถ่านหินจีนปี 2565 เป็น 850 หยวน/ตัน และใช้สมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯที่ US$4 /mmbtu

Our view

  • ผลจากการปรับประมาณการ ทำให้ราคาเหมาะสมลดลงเป็น 19.00 บาท/หุ้น (อิง DCF) มี Upside 17.3% คงคำแนะนำ “ซื้อ” อย่างไรก็ตาม เชิงกลยุทธ์ยังไม่ต้องรีบเข้าลงทุน เนื่องจากงบ 1Q65 ยังคงถูกกดดันจากต้นทุนพลังงานที่สูง
  • บริษัทฯมีประเด็นบวกที่เรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการและราคาเหมาะสม คือ 1) การเริ่มขายไอน้ำของโรงไฟฟ้า SLG 2) ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้า IGCC Nakoso หลังการปรับปรุงในปี 2564 และ 3) การลงทุนตามงบ CAPEX ที่ US$250-350 ล้าน

BANPU POWER PLC การฟื้นตัวยังถูกจำกัด

การฟื้นตัว 1Q65 ถูกจำกัดจากต้นทุนพลังงาน

แม้หลังการเกิดวิกฤติพลังงานในจีนในช่วง 2H64 ทางการจีนได้ประกาศใช้มาตรการเพิ่มอุปทานถ่านหินในประเทศ (เปิดเหมืองเพิ่ม) เพื่อสร้างเสถียรภาพทางด้านพลังงาน แต่สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้อุปทานถ่านหินจีนหายไปบางส่วน (บริษัทที่นำเข้าถ่านหินจากรัสเซียไม่สามารถนำเข้าได้) ส่งผลให้อุปทานถ่านหินในจีนเริ่มตึงตัวอีกครั้งหนึ่ง จึงคาดราคาถ่านหินจีนเฉลี่ยใน 1Q65 มีโอกาสทรงตัวอยู่ในระดับสูง QoQ และจะเป็นปัจจัยกดดันอัตรากำไรของโครงการโรงไฟฟ้า CHP ในจีนอย่างต่อเนื่อง เมื่อประกอบกับแผนการปิดซ่อมบำรุงบางส่วนของโรงไฟฟ้าหงสา และ BLCP ทำให้การฟื้นตัวของกำไรปกติใน 1Q65 ถูกจำกัด (แม้รับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า Temple I แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก) อย่างไรก็ตาม บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับทางการจีนเพื่อปรับราคาขายไฟฟ้าและไอน้ำให้สอดคล้องกับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งหากมีการปรับจริงจะทำให้ผลประกอบการ 1Q65 สามารถฟื้นตัวได้

ปรับประมาณการปี 2565 ลง

จากแนวโน้มของราคาถ่านหินจีนที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง เราจึงปรับสมมติฐานราคาถ่านหินจีนเฉลี่ยปี 2565 เป็น 850 หยวน/ตัน (ใกล้เคียงกับ Guidance ของบริษัทฯที่ระบุว่าราคาถ่านหินจีนอยู่ที่ราว 700-850 หยวน/ตันในปี 2565) รวมถึงใช้สมมติฐานราคาก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯปี 2565 ที่ US$4 mmbtu และรวมการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม 3 โครงการ (กำลังผลิตรวม 50MWe) ไว้ในประมาณการ ส่งผลให้ประมาณการปี 2565 ลดลงราว 16% เป็น 3,983 ล้านบาท (+59% YoY) แต่ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญจาก 1) ราคาต้นทุนถ่านหินในจีนที่มีแนวโน้มลดลง YoY (ราคาในปี 2564 สูงเนื่องจากประสบวิกฤติพลังงาน) 2) การจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าปีก่อน และ 3) การรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่ลงทุนในปี 2564  เช่น โครงการโรงไฟฟ้า IGCC Nakoso ในญี่ปุ่น และโครงการโรงไฟฟ้า Temple ในสหรัฐฯ แบบเต็มปี

ปรับราคาเหมาะสมเป็น 19.00 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

จากการปรับประมาณการลงส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลดลงเป็น 19.00 บาท/หุ้น (อิง DCF) มี Upside +17.3% คงคำแนะนำ “ซื้อ” บริษัทฯมีประเด็นบวกที่เรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการคือ 1) โครงการโรงไฟฟ้า SLG อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขายไอน้ำให้กับภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าสูงขึ้น 2) ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้า IGCC Nakoso ที่สูงขึ้นหลังมีการปรับปรุงในช่วง ก.ย. ธ.ค. 64 และ 3) การเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ โดยบริษัทฯตั้งงบ CAPEX ในปี 2565 ไว้ที่ US$250-350 ล้าน แบ่งออกเป็นการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน US$150-200 ล้าน (อยู่ระหว่าง Due Diligence ราว 2-3 ดีล) และการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน US$100-150 ล้าน คาดบริษัทฯจะเน้นไปที่การลงทุนใน Operating Asset ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ทันที อย่างไรก็ตาม เชิงกลยุทธ์ยังไม่ต้องรีบเข้าลงทุนเนื่องจากกำไรปกติ 1Q65 ยังถูกกดดันจากต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง

- Advertisement -